วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ระบบการศึกษาในสิงคโปร์

การศึกษาของสิงคโปร์

         ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งออกเป็นระดับประถม 6 ปี ระดับมัธยมศึกษา 4 ปี ซึ่งรวมแล้วเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 10 ปี แต่ผู้ที่จะเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจะต้องศึกษาขั้นเตรียมมหาวิทยาลัยอีก 2 ปี
         การศึกษาภาคบังคับของสิงคโปร์จะต้องเรียนรู้ 2 ภาษาควบคู่กันไป ได้แก่ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และเลือกเรียนภาษาแม่ (Mother Tongue) อีก 1 ภาษา คือ จีน (แมนดาริน) มาเลย์ หรือทมิฬ (อินเดีย)
         รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และมีค่าที่สุดของประเทศ ในการนี้ รัฐบาลได้ให้การอุดหนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า โรงเรียนในระดับประถม และมัธยมล้วนเป็นโรงเรียนของรัฐบาลหรือกึ่งรัฐบาล สถานศึกษาของเอกชนในสิงคโปร์ มีเฉพาะในระดับอนุบาล และโรงเรียนนานาชาติเท่านั้น
         มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์มี 3 แห่ง คือ :-
        1. National University of Singapore (NUS)
        2. Nanyang Technological University 
        3. Singapore Management University (SMU)
โดยมหาวิทยาลัย NUS จะให้การศึกษาครอบคลุมเกือบทุกสาขาวิชา ทั้งแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ กฎหมาย ศิลปะศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และการบริหารธุรกิจ ส่วนมหาวิทยาลัย Nanyang จะเน้นการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และสาขาธุรกิจ และการบัญชี สำหรับมหาวิทยาลัย SMU จะเน้นเรื่องธุรกิจการจัดการ
         วิทยาลัยเทคนิค (Polytechnic) ของสิงคโปร์มี 4 แห่งได้แก่ Singapore Polytechnic, Ngee Ann Polytechnic, Temasek Polytechnic และ Nanyang Polytechnic ส่วนวิทยาลัยผลิตครูของสิงคโปร์มีอยู่เพียงแห่งเดียว คือ National Institute of Education นอกจากนี้ ยังมี Institute of Technical Education : ITE เป็นสถาบันที่จัดการศึกษาสำหรับผู้ต้องการทักษะทางช่าง และช่างผีมือ
         ผู้ปกครองนักเรียนของสิงคโปร์จะส่งบุตรหลานเข้ารับการเตรียมความพร้อมในโรงเรียนเมื่อเด็กมีอายุ ได้ 2 ขวบครึ่ง เมื่อเด็กอายุได้ 6 ขวบก็จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1
         ระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ป.1-ป.4 เรียกว่า Foundation Stage และ ป.5-ป.6 เรียกว่า Orientation Stage ชั้นประถมต้นจะเรียน 3 วิชาหลัก คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาแม่ และคณิตศาสตร์ นอกจากนั้น จะมีวิชาดนตรี ศิลปหัตถกรรม หน้าที่พลเมือง สุขศึกษา สังคม และพลศึกษา แต่ในช่วงประถมปลาย หรือ Orientation Stage นั้น นักเรียนจะถูกแยกออกเป็น 3 กลุ่มทางภาษา คือ EM 1. EM 2. และ EM 3.  การแยกนักเรียนเข้ากลุ่มทางภาษานั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาของแต่ละคน เมื่อจบ ป.6 แล้วจะมีการสอบที่เรียกว่า Primary School Leaving Examination (PSLE) เพื่อที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาต่อไป ผลการเข้าสอบมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา
         การศึกษาในระดับมัธยมศึกษานั้น จะมี 3 หลักสูตรให้เลือกตามความสามารถ และความสนใจ โดยใช้เวลา 4-5 ปี หลักสูตรในระดับมัธยมศึกษา ได้แก่
         หลักสูตรพิเศษ   (Special Course)
         หลักสูตรเร่งรัด  (Express Course)
         หลักสูตรปกติ    (Normal Course)
         เมื่อจบหลักสูตรจะมีการสอบ โดยหลักสูตรพิเศษ และหลักสูตรเร่งรัดจะต้องผ่านประกาศนียบัตร GCB (General Certificate of Education) ในระดับ “O” Level ส่วนหลักสูตรปกติจะต้องผ่าน GCB “N” Level แต่ถ้าต้องศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมศึกษา ก็ต้องสอบให้ผ่าน GCB “O” Level เช่นเดียวกัน
         เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแล้ว ผู้ที่สนใจเรียนสายวิชาชีพเทคนิค หรืออาชีวศึกษา ก็สามารถแยกไปเรียนตามสถาบันต่างๆ ได้  ส่วนผู้ที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็จะเข้าศึกษาต่อใน Junior College อีก 2 ปี เมื่อจบแล้วจะต้องสอบ GCE “A” Level เพื่อนำผลคะแนนไปตัดสินการเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ผู้ที่เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็อาจศึกษาในสายอาชีพ หรือหางานทำต่อไป
         ปีการศึกษาของสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 4 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 10 สัปดาห์ เริ่มเปิดการศึกษาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมของทุกปี ช่วงระหว่างภาคเรียนที่ 1 กับที่ 2 และที่ 3 กับที่ 4 จะมีการหยุด 1 สัปดาห์ ระหว่างภาคเรียนที่ 2 กับที่ 3 หยุด 4 สัปดาห์ และมีช่วงหยุด 6 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดปีการศึกษา

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

หมากฝรั่งทำมาจากอะไรกันนะ?

         รู้ไหมว่าหมากฝรั่งทำมาจากอะไร ?

เมื่อก่อนหมากฝรั่งจะทำจากยางไม้ 

ที่คนพื้นเมืองในอเมริกากลางเรียกกันว่า ต้นชิกเคิล แต่ใน ปัจจุบันนิยมทำจากยางธรรมชาติ หรือยางสังเคราะห์ ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ที่มีลักษณะอ่อนนิ่ม ข้น เหนียว ไม่มีสี กลิ่น ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ


ส่วนผสมอื่นๆ ที่ใช้ทำหมากฝรั่งได้แก่ สารเคมีที่ทำให้ยางเหนียวนุ่ม สารเติมแต่งรสชาติ กลิ่น สีสังเคราะห์ เกร็ดมิ้นท์ และสารกันเสีย ซึ่งหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลก็นิยมใส่สาร แอสปาแตม และไซลิทอล หรือสารให้ความหวาน


เคล็ดลับการดำรงชีวิตในญี่ปุ่น

เคล็ดลับการดำรงชีวิตในญี่ปุ่น

ขอเชิญทุกท่านอ่านบทความสั้น ๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น เช่น ภาษา ขนบธรรมเนียม และมารยาทในสังคม ท่านอาจได้พบคำตอบในสิ่งที่สงสัยมานาน

บทเรียนบทที่ 50 sasete itadakimasu สำนวนแสดงความถ่อมตัวของกริยา shimasu ซึ่งแปลว่า "ทำ"

ในการสนทนาของคนญี่ปุ่นสมัยปัจจุบันนี้ มักมีสำนวน sasete itadakimasu ปรากฏออกมา ดูเหมือนมีคนมากขึ้นคิดว่า พอพูด sasete itadakimasu แค่นี้ก็สุภาพดี เช่น ในช่วงต้นของการประชุม พูดว่า setsumei sasete itadakimasu หรือ "ขอความกรุณาให้ได้อธิบาย" ซึ่งอันที่จริง พูดแค่ว่า setsumei shimasu หรือ "จะอธิบาย" ก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ ที่ทางเข้าร้านค้า บางทีจะเห็นป้ายเขียนว่า jūji kara eigyô sasete itadakimasu แปลตามตัวอักษรคือ "ขอความกรุณาให้เราเปิดทำการตั้งแต่ 10 นาฬิกา" นี่ก็เป็นการใช้ที่ผิด 
อย่างไรก็ตาม ภาษาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ต่อไปวิธีการพูดแบบนี้อาจได้รับการยอมว่าเป็น "ภาษาญี่ปุ่นที่ถูกต้อง" เข้าสักวันหนึ่งก็ได้

บทเรียนบทที่ 49 การอาบน้ำ

ในห้องอาบน้ำที่บ้านของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีอ่างอาบน้ำด้วย อ่างจะมีขนาดที่พอให้ชายวัยผู้ใหญ่สามารถนั่งเหยียดขาออกไปและแช่น้ำน้ำร้อนท่วมถึงไหล่ได้ น้ำร้อนในอ่างนั้น ทุกคนในบ้านจะใช้ร่วมกัน ดังนั้น ก่อนลงไปแช่ จะต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสียก่อน 
คนญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ลงแช่น้ำในอ่างที่บ้านเท่านั้น แต่ยังไปใช้บริการบ่อน้ำแร่ร้อนกันอยู่บ่อย ๆ ด้วย การไปเที่ยวโดยมีจุดมุ่งหมายว่าจะไปบ่อน้ำแร่ร้อน เรียกว่า onsen ryokô ที่พักบางแห่งมีบ่อน้ำแร่ร้อนให้บริการอยู่กลางแจ้งเพื่อให้ชมทิวทัศน์ภายนอกได้ด้วย บ่อน้ำร้อนแบบนั้นเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า rotenburo ซึ่งให้ความรู้สึกโล่งสบายไปหมด จึงเป็นที่นิยม

บทเรียนบทที่ 48 อาหารการกินตามฤดูกาล

ญี่ปุ่นมี 4 ฤดู แต่ละฤดูมีอาหารประจำฤดู มาทำความรู้จักอาหารประจำฤดูกันจำนวนหนึ่ง 
อาหารที่เป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิคือ "หน่อไม้" และ "ปลาโอที่จับได้ชุดแรกของปี"
สำหรับฤดูร้อน คนญี่ปุ่นมักทาน "แตงกวา" และ "ปลาไหล" แตงกวาจะช่วยบรรเทาความร้อนของร่างกายที่รู้สึกร้อนผ่าว และมองกันว่าเป็นผักชนิดสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคลมเหตุร้อน
ในฤดูใบไม้ร่วง มีคำกล่าวว่าเป็น "ฤดูใบไม้ร่วงแห่งการเจริญอาหาร" ที่กล่าวกันอย่างนี้ก็เพราะช่วงนี้เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบอาหาร ซึ่งจะมีออกมามากมาย เช่น ลูกพลับ ปลาซัมมะ เห็ด เป็นต้น
สำหรับฤดูหนาว มักจะทาน "หัวไชเท้า" และ "ปลาทะระ" เพื่อให้ช่วยรักษาความอบอุ่นแก่ร่างกาย

บทเรียนบทที่ 47 สินค้าขึ้นชื่อ

ประเทศญี่ปุ่นเป็นหมู่เกาะที่ทอดตัวยาวในแนวเหนือใต้ ภูมิอากาศจึงแตกต่างกันอย่างมากตามแต่ละภูมิภาค มีทัศนียภาพประจำ 4 ฤดูกาลที่เปี่ยมไปด้วยความน่าชม และแต่ละพื้นที่ก็มีผลิตภัณฑ์เกษตรและสินค้าขึ้นชื่อเฉพาะพื้นที่ด้วย

จังหวัดชิซุโอะกะซึ่งอยู่ที่เชิงเขาของภูเขาฟูจิ มีชาเป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำถิ่นและผลิตชาได้มากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ เนื่องจากจังหวัดนี้อยู่ติดทะเล จึงอุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์สด ๆ จากทะเลมากมาย เช่น ลูกปลาซาร์ดีน และกุ้งซากุระ

แน่นอนว่าโตเกียวก็มีสินค้าขึ้นชื่อ หนึ่งในนั้นคือสาหร่ายซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับซูชิ สาหร่ายที่เก็บจากอ่าวโตเกียวขึ้นชื่อเรื่องความหวานและกลิ่นหอม 

ปัจจุบัน ถ้าใช้บริการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต จะสามารถเพลินใจไปกับสินค้าขึ้นชื่อจากทั่วญี่ปุ่นได้โดยสั่งให้ส่งมาถึงบ้าน แต่ความเพลินใจอันสูงสุดย่อมอยู่ที่การได้ไปยังสถานที่จริง และลิ้มรสของขึ้นชื่อเหล่านั้นตามฤดูด้วยตนเอง

บทเรียนบทที่ 46 ภูเขาฟูจิ

ฤดูกาลที่เหมาะสำหรับการปีนภูเขาฟุจิมากที่สุดคือเดือนกรกฎาคมกับเดือนสิงหาคม ในช่วงสองเดือนที่ว่านี้ จะมีคนมุ่งมั่นไปปีนภูเขาฟุจิจนถึงยอดมากกว่า 3 แสนคน  ในจำนวนนี้ เกือบร้อยละ 30 เป็นชาวต่างชาติ แม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนของญี่ปุ่น แต่พอขึ้นไปใกล้ ๆ ยอดเขาฟุจิซึ่งมีความสูง 3,776 เมตร อุณหภูมิจะลดวูบลง อากาศก็เปลี่ยนแปลงง่าย สิ่งที่จำเป็นต้องนำไปด้วย ได้แก่ อุปกรณ์กันฝน เครื่องกันหนาว น้ำ อาหารยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังต้องระวังเรื่องการเมาความสูงด้วย

สำหรับภูเขาฟูจิซึ่งเป็นที่นิยมของทุกคนไม่ว่าจะเพศใดวัยใด แต่เมื่อประมาณ 150 ปีก่อน ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นภูเขาฟุจิ แม้กระนั้นก็ตาม มีบันทึกระบุว่า ก่อนหน้านั้น ก็มีผู้หญิงแต่งตัวปลอมเป็นผู้ชายและผสมปนเปปีนขึ้นไปด้วย นี่แสดงว่า ยอดเขาฟุจิมีเสน่ห์เย้ายวนใจผู้คนมาตั้งแต่โบร่ำโบราณอันไกลโพ้นแล้ว

บทเรียนบทที่ 45 เงินใช้จ่ายส่วนตัวของพนักงานเงินเดือน

ไม่ทราบว่า ในครอบครัวของคุณผู้ฟัง ใครคือผู้กุมกระเป๋าสตางค์ประจำบ้าน? ครอบครัวญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 70 ภรรยาคือผู้ดูแลรายรับรายจ่ายของบ้าน ดังนั้น เงินที่สามีสามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างอิสระจึงมีจำกัด

ผลการสำรวจว่าด้วย "เงินใช้จ่ายของพนักงานเงินเดือน" ซึ่งธนาคารแห่งหนึ่งเป็นผู้จัดทำมานานกว่า 30 ปี ชี้ว่า เงินใช้จ่ายส่วนตัวเฉลี่ยเมื่อปี 2553 ของพนักงานเงินเดือนญี่ปุ่นคือ เดือนละ 40,600 เยน กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบการสำรวจระบุว่าใช้เงินนั้นในการ "ซื้ออาหารกลางวัน" และ "ใช้จ่ายเพื่องานอดิเรก" 

จากวงเงินที่ใช้จ่ายได้อย่างจำกัด จำเป็นต้องแบ่งสรรอย่างมีทักษะเพื่อให้ใช้จ่ายได้ลงตัวไม่ใช่แค่ค่าอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ต้องเจียดไว้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการสังสรรค์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและสำหรับงานอดิเรกด้วย สำหรับคำถามที่ว่า "พยายามประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอะไรมากที่สุด" ผู้ชายส่วนใหญ่ตอบว่า "ประหยัดค่าอาหารกลางวัน" ดูเหมือนว่า พนักงานเงินเดือนเหล่านี้นำข้าวกล่องไปทานเอง หรือไม่ก็เลือกร้านอาหารที่ถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั่นเอง.      แล้วเจอกันไหมนะคะ^^

ขนมหวานเจี๊ยบ!!!!><

              10อันดับขนมหวานที่อร่อยที่สุด^^
เพื่อนๆคะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมคะว่าไม่ชอบทานขนมหวานกันวันนี้เรามาเอาใจสาวกขนมหวามกันดีกว่าคะ
วันนี้ดิฉันมีอันดับขนมหวานที่อร่อยที่สุดมาฝากกันคะ 
ทนกันไม่ได้แล้วใช่ไหมล่ะ งั้นเราดูกันดีกว่าคะ 



1.ทีรามิสุ ( Tiramisu )
เค้กชื่อดังของอิตาลีทำขึ้นจากเล ดี้ฟิงเกอร์ราดเอสเปรสโซ่ สอดไส้ด้วยมาสคาร์โปนชีสและซาบากลิออเน ลือกันว่าทีรามิสุมีจุดกำเนิดมาจากการที่แม่บ้านของทหารในสงครามโลกครั้งที่ สองทำเค้กให้สามีรับประทาน โดยเชื่อว่าส่วนผสมของคาเฟอีนกับน้ำตาลจะช่วยให้พวกเขามีพลังและแคล้วคลาด จากอันตราย ช่างโรแมนติคเสียนี่กะไร เหมาะจะเป็นของหวานรับวันวาเลนไทน์โดยแท้
   


2.บาคลาวา ( Baklava)
ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุ ให้แน่ชัด เพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจาก จักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมียและอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติ แบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็น จุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุตแม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย



3.ไดฟุกุ ( Daifuku )
ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น


4.กุหลับ จามาน ( Gulab Jamun)
ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำ ข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักทำขึ้นโดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาลและประเทศในแถบเอเชียใต้


5.ฮาโล ฮาโล ( Halo Halo)
จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อมโดยสามารถหารับประทานได้ทุก ที่ในกรุงมะนิลา


6.แบล็คฟอเรสท์เค้ก (BlackForestCake)
ด้วยความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของเยอรมนี(ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือ ของช่างทำเค้กใน
กรุงเบอร์ลินทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก


7.ข้าวเหนียวมะม่วง
ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่งโดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่าง ชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่วไป


8.แอปเปิ้ล พาย ( Apple Pie )
เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้นในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน


9.นาไนโม บาร์ ( Nanaimo Bars)
แคนาดาขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน ? ได้ยินแล้วไม่ต่างกับการพูดว่ากรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องทะเลยังไงยังงั้น แต่กระนั้น ขนมรสเลิศดังกล่าว มีที่มาจากเกาะแวนคูเวอร์ในเมืองนาไนโม รัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือแม่บ้านท้องถิ่นซึ่งได้ส่งเจ้าขนมทรง จัตุรัสชิ้นนี้ไปประกวดในนิตยสารและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ปัจจุบัน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ


10.แครมบรูเล่ ( Creme Brulee)
แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้น ขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส



ขอบคุณข้อมูลจาก

http://archive.voicetv.co.th