วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"แฟชั่นหน้ากากอนามัย" ระบาดหนักในประเทศญี่ปุ่น! สะท้อนสังคมกำลังป่วย?

   คนที่เดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกอาจรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้เห็นผู้คนโดยเฉพาะวัยรุ่นสวมหน้ากากอนามัยโดยทั่วไปตามพื้นที่สาธารณะ เหตุผลทั่วไปที่คนสวมใส่หน้ากากอนามัยเพราะต้องการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากร่างกายแพร่กระจายออกไป แต่ที่ญี่ปุ่น คนที่นี่กลับสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อหลบซ่อนตัวตนจากสายตาคนรอบข้าง

เมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว สำนักข่าวออนไลน์นิวส์โพสต์เซเว่น (News Post Seven) ได้สำรวจบุคคลที่สวมใส่หน้ากากอนามัยจำนวน 100 คน ในย่านชิบูย่า ซึ่งเป็นย่านแฟชั่นของญี่ปุ่น พบว่าประมาณร้อยละ 30 ของผู้สวมใส่หน้ากากอนามัยไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยหรือภูมิแพ้แต่อย่างใด และเมื่อเร็ว ๆ นี้ "ซิปส์" (ZIP!) สถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ได้นำเสนอประเด็นของวัยรุ่นชายหญิงที่นิยม โดยพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 14 เท่า หลังจากตัวเลขอ้างอิงของนิวโพส์เซเว่นท์เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นของโลก และกระแสความนิยมสวมใส่หน้ากากอนามัยของญี่ปุ่นเป็นที่นิยมมาระยะหนึ่ง จากข้อมูลการสำรวจเหตุผล 5 ประการที่พบ ได้แก่ 1.ปกปิดใบหน้าเวลาที่ไม่ได้ใช้เครื่องสำอาง 2.ทำให้ใบหน้าอุ่นขึ้น 3.เพื่อให้หน้าดูเรียว 4.สวมใส่เพราะรู้สึกสบาย 5.ไม่ให้คอแห้งขณะงีบหลับ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ "Naver Matome" ระบุว่า ผู้หญิงบางคนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยเพียงเพราะไม่ได้แต่งหน้ามาเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อว่าทำให้ดูมีเสน่ห์ จึงเป็นเหตุผลให้บริษัทหลายแห่งจัดแฟชั่นโชว์หน้ากากอนามัย และผลิตหน้ากากอนามัยที่มีรูปแบบสีสันต่าง ๆ จากนักออกแบบหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ

เริ่มมีการพูดถึงกระแสแฟชั่นสุดประหลาดอย่างจริงจังในสังคมญี่ปุ่น ข้อมูลจากหนังสือ "Date Mask Ozonshou" โดย ยูโซ คิคุโมโต ได้ตั้งข้อสังเกตในเชิงจิตวิทยาว่า เด็กญี่ปุ่นจำนวนมากสวมใส่หน้ากากอนามัยเพราะไม่ต้องการเป็นจุดเด่นในสายตาของคนอื่น รวมถึงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน อำนาจอันทรงพลังของแฟชั่น "ปิดบังใบหน้าแบบแพทย์" ทำให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับการส่งข้อความผ่านอีเมลล์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ไม่ต้องพบเจอหรือสัมผัสตัวกันโดยตรง

การปกปิดใบหน้าของวัยรุ่นญี่ปุ่นอาจสอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะสังคมของซามูไร ที่เน้นการยกย่องภายในกลุ่ม เด็กนักเรีนยญี่ปุ่นทุกวันนี้ถึงขั้นยอมตอบคำถามให้ผิดเวลาที่ถูกครูเรียกตอบในชั้นเรียน เพราะไม่ต้องการให้เป็นจุดเด่นหรือดูโดดเด่นมากกว่าเพื่อนในชั้น เพราะนั่นหมายถึงการไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูงหรือสังคม

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทำไมประเทศฟินแลนด์มีการศึกษาเป็นอันดับ1


"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
ทำไมฟินแลนด์จึงเป็นประเทศที่ ....
- The Programme for International Student Assessment (PISA) ได้จัดการสอบประเมินนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับ (เยาวชนอายุ 15 ปี) ของนักเรียนจำนวน 65 ประเทศโดยประเมินจากความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ และประเมิน 3 วิชาคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผลสอบออกมาปรากฏว่า "ฟินแลนด์" ได้ที่ 2 รองจากเกาหลีใต้
- ประชาชนรู้หนังสือเกือบ 100%
- World Ecomonic Forum (เวทีเศรษฐกิจโลก) จัดให้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกทั้งในระดับประถมศึกษาและระดับที่สูงกว่าขั้นพื้นฐาน (รวมระดับอุดมศึกษา)


"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!

        การศึกษาในประเทศฟินแลนด์ จะเริ่มตั้งแต่ Daycare หรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสำหรับเด็กอายุ 8 เดือน - 5 ปี โดยที่ Daycare นั้นจะต้องมีสนามเด็กเล่นให้เด็กใช้วิ่งเล่นโดยที่ผู้ปกครองสามารถเข้าไปเป็นเพื่อนเล่นได้ และแน่นอนว่าฟรี ไม่ต้องเสียเงินค่ะ
        คำถามที่ตามมาคือ ทำไมต้องให้เด็กไป Daycare ตั้งแต่ยังเด็กมาก ?? อีว่า ฮูจาลา ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการของเด็กชาวฟินแลนด์เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาในช่วงวัยเด็กเป็นช่วงที่จำเป็นและสำคัญมากที่สุด เพราะจะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยโต เคยมีการวิจัยทางประสาทวิทยาค้นพบว่า 90% ของการเจริญเติบโตของสมองเด็กจะเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 5 ปี นี่คือสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ ชาวฟินแลนด์ส่วนมากต้องเริ่มไป Daycare ตั้งแต่ยังเล็กมากนั่นเอง นอกจากนี้ อีว่า ฮูจาลา ยังเคยกล่าวประโยคเด็ดไว้ว่า "Daycare ไม่ใช่สถานที่ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะเอาลูกมาทิ้งไว้แล้วตัวเองก็ออกไปทำงานหาเงิน แต่ Daycare เป็นที่ที่เด็กๆ จะได้เล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเพื่อนใหม่"


"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!

        แต่สำหรับพ่อแม่บางคนที่ไม่อยากส่งลูกเล็กไป Daycare เนื่องจากลูกยังเล็กเกินไปจึงเป็นห่วงด้านความปลอดภัย ก็มีทางเลือกพิเศษให้ค่ะ นั่นก็คือพ่อแม่สามารถดูแลลูกที่บ้านได้ เปรียบเสมือนบ้านตัวเองเป็น Daycare โดยทางเทศบาลเมืองจะมีเงินจ่ายให้กับพ่อแม่ที่จัดบ้านตัวเองเป็น Daycare ด้วย !! แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะรับเงินแล้วก็มาเลี้ยงลูกแบบทิ้งขว้างได้นะคะ เพราะทางเทศบาลเค้าจะมีการสุ่มตรวจอยู่เสมอค่ะว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกได้เหมาะสมหรือเปล่า
        ต่อมาเมื่ออายุเข้า 6 ปี เด็กๆ ส่วนมากจะเข้าเรียนในโรงเรียนประเภท Pre-School / Kindergarten เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งก็เป็นโรงเรียนเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนประถมกึ่งๆ โรงเรียนอนุบาลบ้านเรานั่นเองค่ะ โดยเด็กๆ จะได้เรียนอ่านเขียนหนังสือกันอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการฝึกตนเองให้เป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน เข้าใจในความต้องการของผู้อื่น และมีทัศนคติในแง่บวกต่อคนรอบข้างและวัฒนธรรมอื่นๆ


"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!

        และพออายุครบ 7 ปี ก็จะได้เวลาของ"การศึกษาภาคบังคับ" แล้วค่ะ คือบังคับเลยว่าต้องเข้าเรียนทุกคน โดยการศึกษาภาคบังคับของฟินแลนด์จะกินเวลาทั้งหมด 9 ปีตั้งแต่เกรด 1-9 (ประมาณป.1 - ม.3 บ้านเรา) โรงเรียนส่วนมากเป็นโรงเรียนรัฐบาล แน่นอนว่าเรียนฟรี ส่วนโรงเรียนเอกชนก็มีบ้างแต่ค่อนข้างน้อยค่ะ แต่ถึงจะเป็นโรงเรียนเอกชน นักเรียนก็เรียนฟรี !!เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของการเรียนในช่วงนี้คือ โรงเรียนในฟินแลนด์จะไม่มีหลักสูตร Gifted สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเขาถือว่าเด็กทุกคนควรได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างเท่าเทียมกัน และควรให้สำคัญแก่เด็กที่เรียนอ่อนมากกว่าเด็กที่เรียนเก่ง
        สำหรับบรรยากาศการเรียนนั้น ห้องเรียนหนึ่งมักมีนักเรียนไม่เกิน 20 คน สัปดาห์หนึ่งเรียน 4-11 วิชา ตกวันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง เช่น ภาษาหลัก (ภาษาฟินนิชหรือสวีดิช) ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ พลศึกษา ศิลปะ หัตถกรรม เป็นต้น และที่สำคัญ ต่อให้บ้านนักเรียนจะอยู่ในชนบทไกลแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ทางโรงเรียนจะมีรถนักเรียนไปรับ-ส่งนักเรียนฟรีค่ะ (เริดสุด)


        และพอจบเกรด 9 แล้ว ก็จะจบการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่อยากเรียนต่อก็ได้ ส่วนใครที่อยากเรียนต่อ ก็จะสามารถแบ่งไปได้ 2 ทางคือ
โรงเรียนมัธยมปลาย คือเรียนต่อไปเกรด 10-12  เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยในสายวิชาการ เช่น แพทยศาสตร์ ครุศาสตร์ นิติศาสตร์

โรงเรียนสายอาชีพ จะคล้ายๆ ปวช. บ้านเรา เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการฝึกทักษะวิชาชีพมากกว่า
        และเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือโรงเรียนสายอาชีพแล้ว ก็จะแยกไปได้อีก 2 ทางค่ะ คือ มหาวิทยาลัยทั่วไปและ โพลีเทคนิค ... มหาวิทยาลัยทั่วไปคงไม่ต้องอธิบายเพราะคงรู้จักกันดี พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโทและเอกได้ ส่วนโพลีเทคนิคนั้น จะคล้ายๆ ปวส. ของเมืองไทยแต่จะใช้เวลาเรียน 3-4 ปี ปัจจุบันฟินแลนด์มีจำนวนมหาวิทยาลัยประมาณ 20 แห่ง และมีจำนวนโพลีเทคนิคประมาณ 30 แห่งค่ะ แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เรียนฟรีแถมมีอาหารกลางวันให้อีกด้วย (ส่วนค่าอุปกรณ์การเรียนนักศึกษาต้องเป็นผู้ออกเองนะ)


"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!


เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
- ฟินแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากที่สุดในโลก
- รายการต่างประเทศที่เข้ามาฉายในช่องทีวีของฟินแลนด์ มักไม่ค่อยมีการพากย์เสียงภาษาฟินแลนด์ จะยังคงพูดภาษาเดิมนั้นๆ แต่จะขึ้นซับไตเติ้ลด้านล่างให้อ่านแทน

โรคอีสุกอีใส

  โรคอีสุกอีใส คืออะไร

โรคอีสุกอีใส (Chicken pox) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส (Varicella zoster virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด โรคงูสวัด (Herpes Zoster) ติดต่อได้ด้วย การไอ จาม หายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัส ตลอดจนการใช้ของใช้ร่วมกับผู้เป็นโรค โดยปกติจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 สัปดาห์ มักจะระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนเช่นเดียวกับหัด แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี พบมากในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-12 ปี รองลงมาจะเป็นกลุ่มเด็กอายุ 1-4 ปี กลุ่มวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาวตามลำดับ

 อาการของโรคอีสุกอีใส
เด็กที่เป็นโรคอีสุดอีใสจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่มักมีไข้สูง มีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายไข้หวัดขณะเดียวกันก็จะมีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้ แล้วกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง ต่อมากลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน หรือดูคล้ายตุ่มหนอง และมีอาการคัน 2-4 วัน ต่อมาก็ค่อยๆ ตกสะเก็ด บางคนมีแผลขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากและลิ้นเปื่อย และมีอาการเจ็บคอ เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มขึ้นมากกว่าเด็กเล็ก โดยทั่วไปผื่นและตุ่มจะหายโดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน โรคนี้เมื่อหายแล้ว มักจะมีเชื้อหลบอยู่ตามปมประสาท ซึ่งอาจออกมาเป็นโรคงูสวัดภายหลังได้

 อาการแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใส
อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง ทำให้กลายเป็นหนองและมีแผลเป็นตามมา ในบางรายอาจจะกระจายเข้าไปในกระแสเลือดทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ และปอดบวมได้ ในผู้ใหญ่หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ใช้ยารักษามะเร็งหรือสเตอรอยด์  เชื้อไวรัสโรคอีสุกอีใสอาจจะกระจายรุกลามไปยังอวัยวะภายใน เช่น ปอด สมอง ตับ เป็นต้น 

  การรักษา
เนื่องจาก โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่หายเองได้ โดยมีไข้อยู่เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายใน 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ ถ้ามีไข้สูงใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อลดไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจทำให้เกิดอาการ กลุ่ม "ไรน์" (Reye's syndrome) ได้ ทำให้ผู้ป่วยเด็กถึงแก่ชีวิตได้ ควรอาบน้ำและใช้สบู่ฆ่าเชื้อฟอกผิวหนังให้สะอาด กรณีที่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อน เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน ควรตัดเล็บให้สั้นและหลักเลี่ยง การแกะ หรือเกาตุ่ม ในรายที่มีอาการคันมาก อาจให้รับประทานยาช่วยลดอาการคันหรือใช้ผ้า gauze ชุบน้ำเกลือล้างแผลปิดบาดแผล

ในปัจจุบันมียาที่ใช้ยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสโรคอีสุกอีใส แต่ต้องใช้ขนาดสูงและแพงมาก นอกจากนี้จะต้องเริ่มใช้ภายในวันแรกที่มีอาการมิฉะนั้นอาจไม่ได้ผลหรือได้ผลไม่ดี

 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ โรคอีสุกอีใส
  - โรคนี้เมื่อเป็นแล้วอาจมีโอกาสเป็น งูสวัด ได้ในภายหลัง
  - ควรแยกผู้ป่วยออก เพื่อป้องกันการติดต่อ ทั้งนี้ระยะแพร่เชื้อจะเริ่ม ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงก่อนที่มีผื่นหรือตุ่มขึ้นจนถึงตุ่มแห้งตกสะเก็ดหมดแล้ว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ในระยะนี้ผู้ป่วย ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน
  - เชื้อไวรัสอีสุกอีใส (Varicella zoster) สามารถผ่านจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์มีความพิการหรือเป็นโรคหัวใจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะมารดาติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ภายใน 20 สัปดาห์แรก
  - โรคนี้ไม่มีของแสลง แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และอาจดื่มนมเสริม เพื่อจะได้มีสุขภาพแข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรค
  - ปัจจุบันมีวันซีนป้องกัน โรคอีสุกอีใส แล้ว ประสิทธิภาพในการป้องกันมากกว่า 90% และใช้กันอย่างแพร่หลาย ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้จากกุมารแพทย์ทุกท่าน 

 

สอบถามรายละเอียดและรับคำปรึกษาได้ที่: 
ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2
โทร.0-2617-2444 ต่อ 3219-20

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับมาได้ยังไง


โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island )

โมอายแห่ง ราโน ราราคู

เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินเรื่องราวของเกาะอีสเตอร์กัน และเชื่อว่าอีกไม่น้อยเหมือนกันที่กำลังสงสัยอยู่ ว่าเจ้าเกาะชื่อประหลาดๆนี้มันคืออะไร วันนี้แอนจะนำเรื่องของเกาะอีสเตอร์มาฝาก โดยเฉพาะเจ้ารูปสลักหน้าใหญ่ ที่เรียงรายกันบนชายหาดของเกาะนี้ เรารู้จักรูปสลักนี้กันในนามของ " โมอาย "
 



 
แผนที่บนเกาะอีสเตอร์

เกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนของตาฮิติและชิลีไปประมาณ 2,000 ไมล์ ดูในแผนที่โลกก็คงจะเห็นว่าอีสเตอร์เป็นเกาะเล็กๆและโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาะนี้แบบที่ว่าเอ่ยถึงเกาะอีสเตอร์เป็นต้องนึกถึงเจ้านี่ ก็คือแท่งหินขนาดยักษ์แกะสลักเป็นรูปหน้าคน ที่เรารู้จักกันในนามของโมอาย เมื่อก่อนเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก มันมีชื่อพื้นเมืองว่า " Te Pito O Te Henua " ซึ่งความหมายคือ " Navel of The World " หรือ สะดือของโลก จนกระทั่งเรือของชาวตะวันตกได้มาขึ้นฝั่งที่นี่เมื่อปี 1722 อันเป็นวันอีสเตอร์พอดี เกาะนี้เลยได้ตามวันด้วย
โมอาย (Moai) คือ รูปปั้นหินซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด โมอายถูกพบมากกว่า 600 ตัว กระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ อุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี โมอายเกือบทั้งหมดที่พบนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว แต่ก็มีบางตัวซึ่งมี Pukau ลักษณะคล้ายหมวกเป็นชิ้นต่างหากอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งเป็นที่ที่พบโมอายอยู่กว่า 400 ตัว อยู่ในกระบวนการแกะสลักซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์
จากการค้นพบรูปปั้นที่ยังแกะสลักอยู่ครึ่งๆกลางๆนั้น ทำให้มีการสันนิษฐานว่าเหมืองหินได้ถูกทิ้งร้างไปอย่างกระทันหัน นอกจากนั้นในการค้นพบโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งเชื่อว่าชาวพื้นเมืองบนเกาะเป็นผู้ทำให้มันล้ม
ลักษณะที่เด่นชัดของโมอาย คือส่วนหัว แต่ก็มีโมอายหลายตัวซึ่งมีส่วนหัวไหล่, แขน และลำตัว ซึ่งเป็นโมอายที่พบหลังจากถูกฝังมานานนับปี ความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้างโมอายนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดและมีการสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา ข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายมากที่สุดข้อหนึ่ง คือรูปปั้นโมอายถูกแกะสลักโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้เมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้เชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนอาจสร้างโมอายขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรืออาจจะเป็นผู้ซึ่งมีความสำคัญ ณ สมัยนั้นหรืออาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของครอบครัว
เห็นได้ชัดว่าการสร้างโมอาย (ขนาดทั่วไปสูงประมาณ 3.5 เมตร หนัก 20 ตัน) นั้นต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาเป็นอย่างมาก หลังจากสร้างเสร็จแล้วยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ การขนย้ายโมอายซึ่งหนักและใหญ่นั้นทำอย่างไรก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดจนปัจจุบัน นักวิชาการหลายคนถึงกับลงมือขุดค้นเข้าไปในตำนานของชาวเกาะ เพื่อจะหาที่ไปที่มาของโมอายแต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องราวมากนัก พอถามชาวเกาะที่มีอายุ และมีความทรงจำเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะ ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นที่น่าพอใจว่า "มันเดินกันลงมาเอง" !? รูปสลักใหญ่โตขนาดนี้ ใครล่ะจะเชื่อว่าชาวเกาะโบราณจะใช้แรงงานของพวกเขาขนย้าย ด้วยการลากลงมาเอง อย่าว่าแต่ลากเลยอ่ะ แค่วิธีแกะสลักเนี่ยก็ลำบากมากแล้ว ขนาดแอนเองยังนึกไม่ออกเลยว่า ชาวโพลิเนเชี่ยนเหล่านี้เค้าเอาอะไรมาสลักหินภูเขาไฟก้อนใหญ่โตขนาดนี้ให้ออกมาเป็นศิลปกรรมหน้าตาประหลาดแบบนี้ได้ ลิ่มหรือ หรือว่าขวานหิน ? 
 


โมอายผู้พิทักษ์หมู่เกาะ

ในตำนานของเกาะนั้นกล่าวถึงหัวหน้าเผ่าซึ่งเสาะหาที่ตั้งบ้านใหม่ และเขาได้เลือกหมู่เกาะอีสเตอร์ หลังจากที่หัวหน้าเผ่าตายไปเกาะก็ได้ถูกแบ่งให้เหล่าลูกชายของเขาเพื่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดตายไปก็มีการนำโมอายไปตั้งไว้ ณ สุสาน ชาวเกาะทั้งหลายเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าเหล่านั้นไว้ เพื่อให้นำสิ่งดีๆมาสู่เกาะ เช่น ฝนตก พืชพรรณสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามตำนานนี้อาจมีการบิดเบือนไปจากความจริงเนื่องจากได้มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ไขปริศนาโมอายที่แท้จริงจาก UBC ช่อง History
สรุปออกมาแล้วว่า โมอายที่พบบนเกาะที่มีอยู่กว่า 900 ตัว เป็นฝีมือการทำของมนุษย์ (ชาวโพลิเนเชียน) เอง จากการที่บนเกาะนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักนั้น พวกเขาได้ใช้หินจากภูเขาไฟซึ่งมีความแข็ง คมกว่าหินภายในเหมืองหินที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าหินที่ใช้แกะสลักนั่นเอง
ทำไมอารยธรรมของพวกเขาถึงสาปสูญไป ??
พบว่าพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะจนหมดสิ้น จากเดิมเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่ให้ร่มเงายามแดดร้อน ทำให้พวกเขาต้องหลบแดดเข้าไปอยู่ภายในถ้ำ และนักประวัติศาสตร์ยังพบว่า เกิดสงครามแย่งอำนาจในการปกครองเกาะกัน รวมทั้งมีสิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร แต่พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยให้มีการจัดการแข่งขัน 'มนุษย์นกขึ้น' (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องวิ่งลงหน้าผาที่สูงชัน 1000 ฟุต เพื่อว่ายน้ำฝ่าดงฉลามไปยังเกาะนกนางนวล และเลือกหยิบไข่นกนางนวลและต้องว่ายกลับมาน้ำไข่ให้ผู้นำของพวกเขา ก็เป็นการชนะการแข่งขันอันสุดหฤโหดเลยทีเดียวนะเนี้ย เมื่อเผ่าพวกเขาชนะ หัวหน้าเผ่าจะเป็นผู้นำใช้สิทธิขาด อำนาจในการปกครองเกาะไปอีก 1 ปี ถึงจะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะขึ้นมาใหม่
เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
โมอายได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยมีเหตุผลดังนี้
1. เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด 
2. เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว 
3. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
 
เสริม
ปัจจุบันมีกานนำโมอายมาเป็นส่วนหนึ่งของวีดีโอเกมส์ด้วย เช่นเกมส์ Gradius เกมส์ยานยิงยอดนิยมของค่าย Konami