วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มนต์สะกดแห่งอียิปต์

                 มนต์สะกดกดแห่งอียิปต์



      มีคำพูดกล่าวขานกันมาช้านานว่า อียิปต์คือ แม่น้ำไนล์ แม่น้ำไนล์คืออียิปต์ ปต่ยังมีอะไรมากมายกว่านั้นอีกนับคณา.....
      ดินแดนแห่งแม่น้ำไนล์มักทำให้คนต้องมนต์สะกด ตามที่หลายๆคนคิดกัน อียิปต์เป็นแรงบรรดาลใจให้เกิดผลงานทุกๆสิ่ง นับตั้งแต่บทกวีจนถึงวรรณกรรม สถาปัตยกรรมและเฟอร์นิเจอร์ตะวันตก ไปจนถึงกระดาษห่อ ถุงยางอนามัยและบุหรี่ของชาวอเมริกันสมัยใหม่
      นอกจากนี้ อียิปต์ยังมีอิทธิพลต่อตะวันตกในเรื่องชีวิตและความตาย จนเป็นแฟชั่นที่ค่อนข้างที่จะพิลึกไปสักหน่อย อย่างเช่นในยุคกลางที่ร่ำลือกันถึงคุณค่าของมัมมี่ในทางอายุรเวทซึ่งใช้รักษาโรคนานาชนิด และในศตวรรษที่16มีการค้าขายเนื้อมัมมี่แห้งกันอย่างคึกคัก สุสานเก่าแก่ถูกขุดและผ้าพันมัมมี่ได้ถูกแกะออกเพื่อส่งชิ้นเนื้อฟไปให้นักปรุงยาในยุโรป
       เรื่องราวอียิปต์ในศตวรรษที่18ได้หลั่งออกมาพกมาพร้อมกับสิ่งของอย่างแมลงสแกรับ เครื่องราง และสิ่งของที่แปลงขึ้นมาเพื่อให้อียิปต์ดูน่าตื่นเต้นน่าสนใจในฐานะแหล่วกำเนิดดั้งเดิม แห่งอารยธรรมที่ผู้คนในศตวรรษนี้หมกหมุ่นค้นหา การสำรวจอียิปต์ของนโปเลียนที่ไปกับผู้ที่เขี่ยวชาญทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นเพื่อตอบรับกระแสนิยมใหม่เช่นนี้
        สิ่งมี่ดึงดูดความสนใจของขาวอังกฤษในปี1821 อย่างมากก็คือการเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่ง'สิ่งหายากทางธรรมชาติ'ซึ่งจัดแสดงผลงานล่าสุดของ'จีโอวานนี เบลโซนี'ชาวอิตาลีที่กวาดสมบัติไปเกลี้ยงวิหารอาบูซิมเบลกลับอังกฤษ เนื่องจากไม่มีข้อห้ามขโมยของในสุสาน ไม่นานพิพิธภัณฑสถานทั่วยุโรปรวมไปถึงประเทศอื่นๆก็ล้วนมีของสะสมจากอียิปต์กันทั้งสิ้น
         ส่วนเหตึการณ์ที่ดึงดูดความสนใจของคนทั่วโลกอย่างที่ไม่มีสิ่งใดทาวโบราณคดีจะทัดเทียมได้มาก่อน คือการที่ เฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ ค้นพบสุสานกษัตริย์ทูทันคามุนในปี1922 และเผยแผ่งานศิลปะ5000ชิ้นออกไป นักท่องเที่ยวนับพันหลั่งไหลมาที่หุบเขากษัตริย์ และต้องการชิ้นส่วนที่ระลึกจากในสุสาน ซึ่งพ่อค้าของเก่าก็พร้อมที่จะสนองให้ ส่วนช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในท้องถิ่นก็ผลิตของจำลองที่มีเครื่องหมายของกษัตริย์ออกมาทันที หลังจากที่มีการนำกรุสมบัติไปตะเวนแสดงทั่วโลกในศตวรรษ1960และ70 จำนวนคนที่ต้องการมาเยี่ยมอียิปต์จึงพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว บริษัทท่องเที่ยวเริ่มจัดการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่าย นับแต่นั้นมา  การล่องแม่น้ำไนล์ไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนที่ร่ำรวย
ที่มีการศึกษาต่อไป แม้ปัจจุบันคนกลุ่มอิสลามและหัวรุนแรงและกลุ่มตะวันออกกลางจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวบ้าง แต่มนต์สะกดแห่งอียิปต์ยังคงขลังไม่เสื่อมคลาย.
   


วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ภาษาอังกฤษกับอาเซียน



กฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English”  “ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ” ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างความสัมพันธ์สู่ภูมิภาคอาเซียน ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน
       ในปี พ.ศ. 2558 แรงงานมีฝีมือหรือมีทักษะและนักวิชาชีพทั้งหลายจะสามารถเดินทางข้ามประเทศในภูมิภาคอาเซียนไปหางานทำได ้สะดวกมากขึ้นและจะทำได้โดยเสรี หมายความว่า คนจากประเทศอื่นในอาเซียนก็จะสามารถมา สมัครงาน หางานทำ หรือแย่งงานเราไปทำได้ เพราะมีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอาเซียน ในเรื่องนี้เองที่ภาษาอังกฤษจะเป็นมาตรฐานกลางที่สำคัญอันจะนำไปสู่การเรียน การฝึกฝนอบรมในทักษะวิชาชีพต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงจำจะต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้และให้ดีไม่แพ้ชาวชาติอื่นๆในอาเซียน หากทำได้อย่างน้อยก็จะเป็นการปกป้องโอกาสในการทำงานในประเทศไทยของเรามิให้เพื่อนอาเซียนมาแย่งงาน ของเราไปได้ แต่หากเราไม่เก่งทั้งทักษะภาษาและทักษะวิชาชีพเราก็จะหางานทำในประเทศของเราเองสู้ คนชาติอื่นไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เราจะเข้าไปแข่งขันหางานทำในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ การมีทักษะวิชาชีพเสมอกันในคุณภาพแต่กลับความอ่อนด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษก็เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้โอกาสการ หางานทำในอาเซียนลดลง แม้จะหางานทำในประเทศไทยเองก็ตามก็จะยากมากขึ้น
       ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ใน ประชาคมอาเซียน ณ วันนี้เป็นต้นไป

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประเทศเกาหลี🇰🇷

                      ประเทศเกาหลี🇰🇷
ที่เกาหลี….เรื่องจริงนอกจอทีวี ที่เราอาจจยังไม่รู้จ้า  
** ที่เกาหลี….อะไรๆก็ดูรีบเร่งไปหมด เดินก็เร็ว ทานก็เร็ว เพราะความใจร้อน ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็วๆ คำพูดติดปากคนเกาหลีคือ ปัลรี่ปัลรี่ (빨리 빨리) แปลว่าเร็วๆ คนเกาหลีค่อนข้างภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนทำอะไรเร็วและใจร้อน มักจะพูดแบบบ่นแต่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจว่า คนเกาหลีทำอะไรเร็ว ไม่เหมือนคนไทยใจเย็น ทำอะไรช้าๆเนิบๆ ฟังแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะ >_<”

**นอกจากจะใจร้อนแล้วยังอารมณ์ร้อนอีกด้วย เข้าทำนองว่าโกรธง่ายหายเร็ว มีอีก 2 คำที่คนเกาหลีพูดบ่อยๆ
1.ทับตับเพ (답답해) คืออารมณ์หงุดหงิด อึดอัดใจ บางทีคนเกาหลีพูดว่า ทับตับเพ ปัลรี่ปัลรี่ (답답해! 빨리 빨리) เนื่องจากอึดอัดที่อีกฝ่ายอาจจะทำอะไรเชื่องช้า

2.จาจึ้งนา (짜증나 มาจากคำว่า 짜증나다) เป็นอารมณ์ที่หงุดหงิดเช่นกัน แต่ออกแนวโมโห รำคาญใจ นอกจากจะใจร้อนแล้วคนเกาหลียังขี้รำคาญง่ายอีกด้วย

**คนเกาหลีกับความอดทน อดกลั้น….การจะเข้าใจคนเกาหลีนั้นยากเหมือนกันนะ เพิ่งบอกว่าคนเกาหลีใจร้อนหงุดหงิดง่าย แถมยังขี้รำคาญ ประมาณว่าความต้านทานทางอารมณ์ต่ำ แต่ทว่าในอีกมุมหนึ่งคนเกาหลีกลับเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นสูง เพื่อความสำเร็จแล้วไม่ว่ายังไงคนเกาหลีก็มักจะอดทนทำให้สำเร็จให้ได้ ขอฝากวลีเด็ด..ไว้ฝึกพูดกัน
1.โพกิ ฮาจิมาเซโย (포기 하지마세요) อย่ายอมแพ้
2.กึดกาจิ เฮพายา เฮโย (끝까지 해봐야 해요) ต้องลองทำให้ถึงที่สุด

**ความเครียดกับคนเกาหลี….คนเกาหลีมีความเครียดเกี่ยวกับงานและความก้าวหน้าสูงมาก ตอนหาเสียงเลือกตั้งปธน.เกาหลีใต้ ปาร์กกึนฮเยเน้นว่าจะเพิ่มความสุขให้กับคนเกาหลี เพราะความเครียดนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเกาหลีสูบบุหรี่และดื่มเหล้ามาก รวมไปถึงเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายของชาวเกาหลีที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD ไม่เว้นแต่เด็กประถมต้นจนถึงวัยชรา (หากคิดเป็นวันเท่ากับมีคนฆ่าตัวตายโดยเฉลี่ยวันละ 42.6 คน)

** เด็กเกาหลีกับการเรียนพิเศษ….เด็กเกาหลีเรียนหนักมากอย่างไม่น่าเชื่อ หลังเลิกเรียนในภาคปรกติต้องมีเรียนพิเศษต่อถึงราวๆห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน!! ยิ่งถ้าเป็นนักเรียนมัธยมปลายด้วยแล้วจะยิ่งเรียนหนักมาก วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้น เป้าหมายคือเพื่อต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีและเข้าทำงานในบริษัทดีๆให้ได้เมื่อเรียนจบ ส่วนหนึ่งที่เด็กๆต้องเรียนกันมากแบบนี้เพราะถูกกดดันจากครอบครัวโดยเฉพาะแม่ที่ต้องการเห็นลูกตัวเองดีเด่นกว่าใคร (92.6% ของพ่อแม่ตั้งความหวังว่าลูกต้องเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย)

** การนับอายุที่เกาหลี….คนเกาหลีนับอายุแบบเดียวกับคนจีนสมัยโบราณคือนับตั้งแต่ยังเป็นทารกในท้องแม่ เมื่อเกิดมาก็ถือว่ามีอายุหนึ่งปีและยิ่งไปกว่านั้นการนับอายุเพิ่มแต่ละปีนั้นไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิด เมื่อขึ้นปีใหม่สากลปุ๊บก็นับเพิ่มอีกปีเลย (สมมติเราเกิดวันที่ 31 ธ.ค. พอข้ามเป็นวันที่ 1 ม.ค. ก็นับอายุเพิ่มเลยทันที..แปลกแต่จริง) สรุปแล้ว เมื่อพูดเรื่องอายุของเรากับคนเกาหลี เราต้องบวกเพิ่มจากอายุปกติเราไปอีกหนึ่งปี…ฮือๆๆ ไม่ชอบเลย

** อายุและความอาวุโสที่เกาหลี….เมื่อพบกับคนเกาหลีครั้งแรกอย่าแปลกใจหากถูกถามอายุทันทีทันใด ไม่ใช่เพราะว่าคนเกาหลีอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ว่าการไล่เรียงลำดับอายุหรือตำแหน่งของกันนั้นทำให้เรารู้ว่าจะใช้รูปประโยคและคำศัพท์ระดับใดในการสนทนา ระบบอาวุโสนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมสังคมเกาหลีใต้อย่างมากโดยไม่ต้องมีการรับน้องระบบโซตัสแบบไทย รุ่นน้องต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ ลูกน้องต้องเชื่อฟังหัวหน้า (ตลอดไป) เมื่อรุ่นพี่หรือหัวหน้าอยากไปไหน อยากทานอะไร รุ่นน้องหรือลูกน้องก็ต้องว่าตามนั้น

** คนเกาหลีสูบบุหรี่จัด….คนเกาหลีสูบบุหรี่เป็นอันดับ 2 ของประเทศสมาชิก OECD อายุเฉลี่ยที่เริ่มสูบบุหรี่คือ 12.7 ปีเท่านั้น นักเรียนชั้นมัธยมต้นสูบบุหรี่กัน 13% นักเรียนชั้นมัธยมปลายสูบบุหรี่ถึง 18% จากข้อมูลสถิติผู้ชายเกาหลีตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ถึง 44.3% ของผู้ชายในวัยดังกล่าวทั้งหมด อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ การสูบบุหรี่ของคนเกาหลีที่นี่

**คนเกาหลีและอาหารประเภทเนื้อย่าง / หมูย่าง….เมื่อมีนัดกับญาติหรือเพื่อนๆไม่ต้องคิดให้มากแบบคนไทยว่าจะทานอะไรดีเพราะคนเกาหลีนิยมไปทานเนื้อย่างหรือหมูย่างกันเมื่อมีการสังสรรค์หรือเลี้ยงฉลอง เมื่อทานเสร็จมักจะไปต่อที่ร้านอื่นๆ แต่ถ้าทานอาหารที่บ้านในวันปรกติคนเกาหลีกลับนิยมทานผัก กิมจิ แกง หรือแกงจืดมากกว่าเนื้อสัตว์ พวกอาหารปิ้งย่างหากจะทานที่บ้านจะเป็นเทศกาลพิเศษหรือในวันหยุดมากกว่า ใครสนใจเกี่ยวกับมารยาทและธรรมเนียมการทานอาหารกับคนเกาหลี อ่านต่อที่นี่

**ร้านอาหารตามสั่งที่เกาหลี….อาหารเกาหลีไม่ได้แพงเสมอไป ใครอยากทานอาหารเกาหลีที่ไม่แพง และได้อารมณ์แบบร้านอาหารตามสั่งแบบเมืองไทยหล่ะก็แนะนำให้มองหาร้านอาหารประเภทพุนชิก (분식점) หรือร้านที่ทำคิมปับ (김밥) หรือข้าวห่อสาหร่ายอยู่ด้านหน้าร้าน ร้านแบบนี้จะมีเมนูเกาหลีหลากหลาย ราคาประมาณ 3,000 – 8,000 วอน (ถือว่าไม่แพงสำหรับที่เกาหลี) อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ ร้านอาหารประเภทพุนชิก (분식점) ที่นี่

**ที่เกาหลีเราต้องเก็บถาดอาหารด้วย….สำหรับศูนย์อาหาร ร้านฟาสต์ฟู๊ดและร้านกาแฟ เมื่อทานอาหารเสร็จต้องนำถาดอาหารไปคืน ณ จุดที่ร้านบอกไว้ (สังเกตจากผู้คนรอบข้างที่ลุกไปก่อนเรา) โดยเฉพาะร้านประเภทฟาสต์ฟู๊ดยังกำหนดละเอียดกว่านั้นอีกคือ เราต้องแยกประเภทของอาหารและอุปกรณ์ในถาดของเราเองด้วย โดยจะมีช่องสำหรับใส่อาหารที่เหลือ ช่องสำหรับเทน้ำแข็ง ช่องสำหรับใส่แก้วกระดาษ ช่องสำหรับขยะอื่นๆ หากไปร้านประเภทนี้ที่เกาหลี อย่าลุกเดินไปเฉยๆเมื่อทานเสร็จแล้วนะจ๊ะ

** วิธีการจ่ายเงินที่ร้านอาหารที่เกาหลี….การชำระเงินที่เกาหลีต้องเดินไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินเสมอ ร้านอาหารที่เกาหลีไม่จำเป็นต้องทิปแบบประเทศตะวันตกเพราะส่วนใหญ่ราคาอาหาร บวกค่าบริการไว้เรียบร้อยแล้ว หากจะพูดว่าช่วยคิดเงินหน่อยพูดง่ายๆว่า เคซันเฮ จุเซโย (계산해 주세요)

**การสัมผัสร่างกายของคนเกาหลี….สำหรับคนเพศเดียวกันจะมีการการสัมผัสร่างกายกันมากกว่าคนไทยหรือชาวตะวันตก เช่นในหมู่เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย (เพศเดียวกัน) จะชอบเดินจูงมือหรือคล้องแขนกัน แม้แต่ที่คนไม่สนิทเท่าไหร่แต่หากไม่ได้เป็นในระหว่างการทำงาน การแตะไหล่หรือเกาะแขนของคู่สนทนาก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ (ต่างเพศก็มีบ้างในบางกรณี) เคยประสบมาด้วยตัวเองเลย มีออนนี่ (언니 พี่สาว) คนหนึ่งเพิ่งรู้จักกันแท้ๆแต่ไปทานข้าวด้วยกันก็มาเดินจูงมือเราเฉยเลย ในกรณีผู้ชายด้วยกัน ถ้าเป็นเพื่อนกันก็อาจเกาะแขนหรือเดินโอบไหล่กันก็มีอย่าไปคิดว่าเค้าเป็นคู่รักกันเชียว
**รถไฟใต้ดินที่เกาหลี….ไม่ใช่แต่โซลที่มีรถไฟใต้ดิน เมืองใหญ่ๆในเกาหลีก็มีรถไฟใต้ดินมานานแล้ว ตอนนี้ที่โซลมีรถไฟใต้ดิน 16 สายครอบคลุมทั่วเมือง หลายสายสิ้นสุดที่เมืองรอบนอกกรุงโซล ตู้รถไฟใต้ดินแต่ละตู้เข้าได้ 4 ประตู จำไว้เลยว่าประตูริมทั้ง 2 ด้าน เป็นประตูสำหรับผู้สูงอายุ อย่าตกใจหากเรายืนต่อแถวรอรถไฟอยู่ดีๆแล้วมีผู้สูงวัยมาแซงเข้าประตูรถไฟไปก่อนเรา สำหรับที่นั่งด้านริมตู้รถไฟแต่ละตู้ทั้งฝั่งซ้ายและขวาเป็นที่นั่งสงวนไว้ให้คนชรา คนพิการ คนท้อง แม่ที่อุ้มเด็กทารกเท่านั้น อย่าเผลอไปนั่งเด็ดขาดอาจถูกประหารทางสายตาจากคนในรถไฟใต้ดิน แม้การขายของในรถไฟใต้ดินจะผิดกฎหมาย แต่บ่อยครั้งที่จะเห็นคนเข็นของมาขายในรถไฟ ส่วนใหญ่เป็นของใช้ตามฤดูกาล เช่น ร่ม ถุงมือ ฯลฯ

**ผู้หญิงเกาหลี….ผู้หญิงเกาหลีแม้จะไม่สวยเหมือนนางเอกละครทุกคน แต่ส่วนใหญ่จะมีผิวที่ละเอียดขาวเนียน เอวบางร่างน้อย ขาก็เรียวมากๆ ว่ากันว่านอกจากคนเกาหลีจะเดินเยอะแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก มีเรื่องขำๆว่าผู้หญิงส่วนมากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายจะสร้างภาพให้สุภาพอ่อนหวาน น่ารัก ทานอาหารน้อยนิด ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เก่ง ฯลฯ แต่หากอยู่กันกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันหรืออยู่คนเดียวจะเปลี่ยนไปอีกแบบนึงเลย

**ศัลยกรรมกับคนเกาหลี….เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้วคนเกาหลีถือว่าทำศัลกรรมมากที่สุด เพราะคนเกาหลีให้ความสำคัญกับการแต่งกายและรูปร่างหน้าตามาก บางคนเชื่อว่ารูปร่างหน้าตาที่ดีมีผลต่อความก้าวหน้าในการทำงาน หน่วยงานทางด้านศัลยกรรม ISAPS ให้ข้อมูลว่าชาวเกาหลีทุกๆ 1,000 คน มีคนผ่านการทำศัลยกรรม 16 คน โดยครึ่งหนึ่งทำโบท็อกซ์และเลเซอร์ อีกครึ่งหนึ่งศัลยกรรมจมูก หน้าอก ทำตาสองชั้น ดููดไขมัน เป็นต้น ถ้าเทียบเฉพาะชาวโซล ทุกๆ 5 คนจะมีคนทำศัลยกรรมหนึ่งคน แหล่งที่มีศูนย์ดูแลผิวพรรณและทำศัลยกรรมมากที่สุดในโซลก็คือแถบย่าน Gangnam

** ผู้หญิงเกาหลีกับสินค้า brandname….มีผลสำรวจออกมาว่าของขวัญที่ผู้หญิงอยากได้มากที่สุดจากคนรักหรือลูกชายก็คือสินค้า brandname โดยเฉพาะกระเป๋าถือสตรี คนเกาหลีหากซื้อกระเป๋า brandname จากต่างประเทศเวลากลับเข้าประเทศจะต้องเสียภาษี ไปๆมาๆจะแพงกว่าซื้อในประเทศดังนั้นคนเกาหลีจึงนิยมซื้อกระเป๋า brandname จาก Shop ในประเทศเลย หากมาเที่ยวเกาหลี ลองสังเกตดูตามท้องถนนหรือบนรถไฟใต้ดินจะเห็นผู้หญิงถือกระเป๋า brandname เยอะจริงๆ (ส่วนใหญ่ของแท้นะจ๊ะ)

**ลัทธิชาตินิยม….ชาวเกาหลีมีความเป็นชาตินิยมมากชาติหนึ่ง นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เกาหลีนิยมผลิตสินค้านานาชนิดเพื่อเน้นให้คนในประเทศใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือสินค้าอิเลคโทรนิคส์ต่างๆ อาหารก็เช่นกัน คนเกาหลีคิดว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศดีที่สุด เคยอ่านหนังสือทำอาหารเพื่อสุขภาพเค้าเขียนไว้ว่า เพื่อคุณค่าทางอาหารควรทานข้าวกล้องในประเทศ!! ร้านอาหารบางแห่งจะติดป้ายโฆษณาไว้เลยว่าวัตถุดิบในร้านเป็นผลิตภัณฑ์ดีเยี่ยมเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ ขนาดเนื้อวัวในประเทศที่เรียกว่า ฮันอู [한우] นั้นคนเกาหลียังบอกว่าเลยว่าอร่อยที่สุดในโลกและมีราคาแพงมาก

**ความอ่อนไหวของคนเกาหลี….อย่าตกใจหากดูรายการทีวีเกาหลีแล้วเหล่าบรรดาพิธีกร แขกรับเชิญในรายการทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อฟังเรื่องราวบางอย่างแล้วน้ำตาคลอหรือร้องไห้กัน แม้คนเกาหลีจะใจร้อน โมโหง่าย พูดเสียงดังแต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นชาติที่มีความอ่อนไหวมาก เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะร้องไห้เพราะซึ้งหรือเศร้า ถ้าดูหนังเศร้าๆผู้ชายเกาหลีก็หลังน้ำตาได้ไม้แพ้ผู้หญิงเลย ต่างจากเมืองไทยที่นานๆจะเห็นผู้ชายร้องไห้สักครั้ง

**กาแฟกับคนเกาหลี….คนเกาหลีดื่มกาแฟมากยิ่งกว่าการทานหมูย่างเกาหลีซะอีก ข้อมูลล่าสุดปี 2011 ตลาดกาแฟที่เกาหลีใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยเฉลี่ยคนเกาหลีดื่มกาแฟประมาณ 338 แก้วต่อปี กาแฟที่คนเกาหลีนิยมดื่มที่สุดคือกาแฟดำหรืออเมริกาโน่ ปัจจุบันเกาหลีมีร้านกาแฟมากกว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศ