วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Rosa Parks

ผู้หญิงสามัญชน-ไม่สยบยอม 
“มารดาแห่งขบวนการสิทธิพลเมือง วันใหม่”

     แม้ขณะนี้ จะล่วงเลย จุดรุ่งของประธานาธิบดีโอบาม่า แล้ว ใกล้จะถึงวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า บารัค โอบาม่า คงไม่ได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย แต่ประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้วว่า เขาเป็นประธานาธิบดีผิวดำ(ไม่ขอเรียก “ผิวสี”) คนแรก เราๆก็คงทราบว่า กว่าอเมริกาจะยอมรับคนผิวดำ ให้เป็นถึงขนาดนี้ไม่ได้ง่ายเลย ต้องมีการต่อสู้นับสิบๆปี คนไทยก็คงพอรู้จักชื่อของ มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์(Martin Luther King Jr.) ส่วนจะรู้ลึกลงไปนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ แม้หาในอินเทอร์เน็ตก็ข้อมูลเป็นภาษาไทยน้อย วิกิพิเดียภาคไทยขณะนี้ยังไม่มีเรื่องของเธอเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงตำราเรียนในปัจจุบันก็ได้ คงไม่แปลกที่จะกล่าวได้ว่า เรื่องขบวนการสิทธิมนุษยชน ขบวนการเพื่อความเป็นธรรม ในโลก ไม่เป็นที่รับรู้หรือรับรู้แต่เบาบางของเด็กไทย ที่เราอ้างว่า เด็กเป็นอนาคตของชาติ จะเป็นไปแบบไทยๆ หรือแบบสากลโลกเล่า เรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกันคิดพิจารณา อย่างมีโยนิโสมนสิการ ข้าพเจ้าไม่อาจจะไปตัดสินได้ เพราะไร้อำนาจ และไม่ใช่เผด็จการฟาสซิสต์
เราคงพอได้ยินชื่อของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ มาแล้ว แต่เรารู้ไหมว่าบุคคลคนหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่า คิง ก็มี ถ้าหากไม่มีเธอผู้นี้ได้แสดงความกล้าหาญ(ที่จะกล่าวถึง)ในวันนั้น ก็อาจจะไม่มีคิงที่โลกรู้จักในวันนี้ และก็ไม่อาจมีประธานาธิบดีผิวดำนาม บารัค โอบาม่า ที่ดำรงอยู่ในตอนนี้ จริงๆก็มีคนสู้มาก่อนหน้าเธอมากมายนัก แต่เธอผู้นี้เป็นนักต่อสู้ในยุคใหม่ หรือเป็นการขบวนการสิทธิพลเมือง สมัยใหม่ ที่ต่างจากอดีต การต่อสู้เริ่มจะเป็นเชิงไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนเธอก็เริ่มต้นแรกๆเลย โดยทำสิ่งที่เรียกว่า “อารยะขัดขืน”

                                           

ไม่ให้เยินเย่อ ก็จะกล่าวถึงเธอผู้นี้เลย เธอคือผู้หญิงผิวดำที่ชื่อว่า “โรซ่า พาร์ค”(Rosa Parks) เกิดเมื่อปี ๑๙๑๓ ใน อลาบาม่า (Alabama) สมัยนั้นมีการเหยียดผิวอย่างรุนแรง เธอต้องผจญกับความอยุติธรรม เพื่อนบ้านต่างสีผิวที่กลั่นแกล้งเธอ แต่แม่ของเธอ นางลีโอนา ไม่ยอมต่อชะตากรรม ให้ความสำคัญต่อการศึกษาของลูก สู้ชีวิต ย้ายไปในหลายเมือง เพื่อความมั่นคงในชีวิตของลูก ด้วยการไม่ท้อแท้ต่อการอบรม ทุ่มเทกับการศึกษา ในที่สุด พาร์ค ก็จบการศึกษาชั้นสูง กระนั้นในบรรยากาศทางการเมืองที่แยกผิว เธอต้องได้รับสิ่งที่เป็นสองมาตรฐานอย่างมาก แต่เธอไม่ได้จำนนต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น รู้ว่ามันมีปัญหาที่ตัวกฎหมาย เธอเห็นใจคนผิวขาว และรู้ว่าคนผิวขาวนั้นไม่ได้เลวร้าย ความเมตตากรุณาของเธอ เป็นกระบวนทัศน์หล่อหลอมทัศนคติและการกระทำของเธอไปในทางไม่ใช้ความรุนแรง อีกอย่างเธอก็ได้สามีที่ดีทีเดียว สนับสนุนซึ่งกันและกัน

เหตุการณ์ที่สำคัญและเป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้จนสู่ชัยชนะ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑

 ธันวาคม ปี๑๙๕๕ เธอไม่ยืนขึ้นให้คนผิวขาวนั่ง ซึ่งกฎหมายสมัยนั้นระบุอย่าง

ชัดเจน ถ้าคนผิวขาวไม่มีที่นั่ง คนผิวดำต้องลุกให้ แต่เธอไม่ เธอไม่ยินดี แล้วมันก็

เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำแล้วด้วย แล้วก็บังเอิญอีกว่า คนขับรถบัส ที่เธอนั่งนั้น เป็น

คนเดียวกับที่ไล่เธอลงมาจากรถเมื่อเธอยังเยาว์วัย เธอจำได้ดี แล้วตอนนี้ก็เป็น

โอกาสดีที่เธอจะแสดง “อารยะขัดขืน” เธอปราศจากความกลัว ตัดสินใจแน่วแน่

 เขาไล่ให้ลุก เธอไม่ลุก เธอยืนยันในสิทธิของเธอ มันสำเร็จด้วยดี ผลก็คือ เธอ

ถูกจับไปโรงพัก ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว สู่การรับรู้ของคนผิวดำในเมือง

นั้น มอนโกเมรี่  ๔ วันจากนั้น พวกเขาร่วมใจกันบอยคอตรถบัส เพื่อให้

เปลี่ยนแปลงยกเลิกกฎหมายการแบ่งแยกสีผิว บนรถบัส โดยพวกเขาชูเรื่อง “โรซ่า

 พาร์ค หญิงนิโกร” เป็นกรณี เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการเริ่มต้นขบวนการ

สิทธิพลเมืองขึ้นในอเมริกา ผู้นำในการบอยคอตนั้นก็คือ สาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์

คิง มันไม่ง่ายเลย กระบวนการกดดันทำไปอย่างยาวนาน จนในที่สุด วันที่ ๑๓

 พฤศจิกายน ปี ๑๙๕๖ เกือบหนึ่งปีจากนั้น ศาลสูงของสหรัฐ ประกาศว่า การแบ่ง

แยกสีผิวในรถ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ได้จบ ปัญหายังไม่จบ สมที่อันโต

นิโอ กรัมชี่กล่าว “สิ่งเก่ากำลังตาย สิ่งใหม่กำลังปรากฏ สิ่งเก่าขัดขวางสิ่งใหม่

 อสุรกายจะปรากฏ” ปฏิกิริยาก็เกิดขึ้น ขบวนการคู คลูก คลัน(ขบวนการปีศาจ-Ku

 Klux Klan) ก็ตามล่าไม่จบ มันฟื้นคืนชีพ และ ๔ เมษายน ปี๑๙๖๘ ผู้นำ

ขบวนการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว สาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์คิง ก็เป็นอันต้องตายไป

 จากการฆาตกรรม การต่อสู้ก็ดั่งสายธาร และเธอก็เป็นต้นสายธารนั้น จนในที่สุด

กฎหมายการแบ่งแยกสีผิวก็ถูกยกเลิกไปจากการต่อสู้ของเธอและขบวนการสิทธิ

พลเมือง ทัศนคติของคนอเมริกันชนผิวขาวเริ่มเปลี่ยนไป แม้จะยังมีพวกทัศน

ดักดานอยู่ แต่ก็จำนวนน้อยถ้าเปรียบกับทั้งหมด โชคดีจริงๆ ที่พาร์ค เห็นชัยชนะของการต่อสู้ ในปี ๑๙๘๗ เธอก่อตั้ง สถาบันโรซ่า-เรย์มอนด์ พาร์คเพื่อการ

พัฒนาตนเอง (Rosa and Raymond Parks Institute for Self-Development)


สถาบันนี้ปลูกฝังเด็กๆเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองในอเมริกา สมัยประธานาธิบดีผิวขาวบิลล์ คลินตัน เธอได้รับเหรียญรางวัลการสู้เพื่ออิสรภาพ มันเป็นเครื่องการันตีว่าการแบ่งแยกสีผิวได้จบแล้ว ในปี ๒๐๐๐ มีการนำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อห้องสมุดและทำพิพิธภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยทรอย ในมอนโกเมรี่ นอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลต่างๆอีกมากมาย นิตยสารไทม์ จัดอันดับให้เธอเป็นหนึ่งในที่สุดของศตวรรษที่ ๒๐ โมเลฟี่ อซานเต้ (Molefi Kete Asante) นักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกา จัดอันดับเธอเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ของสตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่ (100 Greatest Woman Africa American)เธอได้รับการขนานนามว่าเป็น “มารดาแห่งขบวนการเพื่ออิสรภาพ”( the mother of the freedom movement) หรือ “มารดาแห่งวันใหม่ ของขบวนการสิทธิพลเมือง” (Mother of The Modern Day Civil Rights Movement)สิ่งที่พารค์สู้ มันมีค่ามากกว่ารางวัล รางวัลพวกนี้จะตอบแทนเธอได้ไม่หมดสิ้นหรอก และเธอก็เป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายจนวาระสุดท้ายของชีวิต เธอจากเราไป ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ปี ๒๐๐๕ ขณะที่เธออายุ ๙๒ ปี โดยศพของเธอเก็บไว้ที่สุสานประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (เธอเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้) และในปี ๒๐๐๘ หลังจากเธอสิ้นชีวิตไปได้ ๓ ปี ชื่อของเธอได้เข้าสู่ หอเกียรติยศสตรีผู้ทรงเกียรติแห่งอลาบาม่า
มีถ้อยคำหนึ่งที่ผู้คนกล่าวกัน “โรซ่า พาร์ค นั่ง – คิง จึงได้เดิน –และโอบาม่า จึงมีสิทธิมีเสียง”
“ทั้งหมดมัน เริ่มบนรถบัส” (It All Started on a Bus)   
ขอคารวะต่อสตรีสามัญชน ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง สิทธิมนุษยชน จนมีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นของขวัญแด่อนุชนคนรุ่นหลัง เธอคือผู้หญิงที่คุณความดีจะจารึกไว้ในโลก ตลอดชั่วกาลนาน

florence nightingale (วีดิโอ)


Florence Nightingale สุภาพสตรีแห่งประทีป

                                   

                                   


ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) สตรีชาวอังกฤษผู้บุกเบิกด้านการพยาบาลสมัยใหม่ เกิดวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2363 ในครอบครัวเศรษฐีชาวอังกฤษที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
ด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้า ซึ่งเธอกล่าวว่าได้ยินเสียงจากพระองค์ให้เธอช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในปี 2380 ซึ่งสมัยนั้นสังคมยังกำหนดบทบาทให้ผู้หญิงเป็นเพียงแม่บ้านและภรรยาเท่านั้น เธอปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว เริ่มออกช่วยรักษาคนป่วยที่ยากจน ในปี 2389 เธอเดินทางไปศึกษาพยาบาลที่เมืองไคเซอร์เวิร์ธ (Kaiserswerth) ประเทศเยอรมนี และเริ่มอาชีพพยาบาลตั้งแต่ปี 2394
ในช่วง สงครามไครเมีย (Crimean War) ประเทศตุรกี ระหว่างรัสเซียกับฝรั่งเศสและอังกฤษ หลังจากพบว่ามีทหารล้มตายและบาทเจ็บจำนวนมาก โดยไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เธอจึงรวมตัวกับเพื่อน 38 คนเป็นพยาบาลอาสาตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวในสนามรบ โดยใช้มาตรฐานอย่างเข้มงวด ทั้งการรักษา สุขภาพอนามัย และอาหาร เธอดูแลคนป่วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้ในยามมืดค่ำ เธอยังคงรักษาคนไข้ใต้แสงตะเกียง จนได้รับการยกย่องว่า “สตรีผู้ถือตะเกียง” (The Lady with the Lamp)
หลังสงครามเธอกลับอังกฤษในฐานะวีรสตรี และได้รับอิสริยาภรณ์เชิดชูคุณความดีของอังกฤษ (British Order of Merit) เป็นคนแรก อีกทั้งในช่วงสงครามเธอยังได้ทำการบันทึกสถิติทหารที่บาดเจ็บ ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างในการบันทึกสถิติทางการแพทย์ในปัจจุบัน
ภายหลังเธอได้ตั้งองค์กรเพื่อสอนวิชาพยาบาลในประเทศตุรกี และก่อตั้งโรงเรียนพยาบาลอีกหลายแห่ง นอกจากนั้นเธอยังจัดหน่วยรักษาพยาบาลไปรักษาที่ต่างประเทศ เช่น สงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา และทำกิจกรรมสาธารณกุศลจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2453

ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา


                          ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา




ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา (e-magazine)

          สืบเนื่องจากชื่อตอน มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะออสเตรียถูกขนานนามว่า "ดินแดนแห่งขุนเขา" ก็เนื่องมาจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ประมาณ 60% มีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา อีกทั้งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีเพียงเส้นทางแม่น้ำดานูบที่ไหลพาดผ่านไปยังสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร ออสเตรียก็เป็นหนึ่งในยุโรปที่มีทิวทัศน์อันงดงาม


          ออสเตรีย ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตอนกลาง มีกรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวง ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่เป็นประเทศที่เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ก สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตล์ นับว่าเป็นประเทศที่มีเพื่อนบ้านเยอะทีเดียว

          ออสเตรียมีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยถึง 6 เท่า ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา และเทือกเขาส่วนใหญ่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรียคือ โกรสซ์กล็อกเนอร์ (Großglockner) ที่มีระดับความสูง 3,798 เมตร จากระดับน้ำทะเล นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบที่กว้างใหญ่คือ ทะเลสาบนอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของออสเตรีย มีขนาดประมาณ 315 ตารางกิโลเมตร และยังมีทะเลสาบอื่นที่มีความสำคัญอีกหลายแห่ง


          อากาศของออสเตรียมีความแตกต่างกันตามระดับความสูงของพื้นที่ และอิทธิพลที่ได้รับจากภาคพื้นทวีป แต่สำหรับคนไทยก็เป็นอากาศหนาวมันทั้งปีนั่นแหละ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 6.7-8.9 องศาเซลเซียส หากจะไปเที่ยวออสเตรีย ควรไปช่วงเดือนพฤษภาคม- ตุลาคม เพราะอยู่ระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน ฝรั่งเขาชอบนักชอบหนา บอกว่าอากาศอบอุ่น บรึ๋ย…มันก็คือหน้าหนาวบนยอดดอยบ้านเราดีๆ นี่เอง หากจะต่างกันก็ตรงที่ว่า เมืองไทยนั้นจะมีความชื้นมากกว่า

          เอาหล่ะ…ได้ข้อมูลมาประดับสมองกันพอสมควรแล้ว เตรียมปีกให้พร้อม แล้วบินข้ามทวีปกันเลย จุดหมายแรกของทริปออสเตรีย จะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากเมืองหลวง


          Vienna (เวียนนา) คือเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การปกครอง


          ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ กรุงเวียนนาเป็นนครสำหรับชนชั้นขุนนางและบรรดาเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น คนบ้านๆ อย่าได้ไปเหยียบ และเป็นเวลานานนับศตวรรษ ที่กรุงเวียนนาได้แผ่อำนาจการครองราชอาณาจักรเกรียงไกรไปทั่วแม่น้ำดานูบ จนมาในยุคปัจจุบัน กรุงเวียนนามีความเจริญอย่างรวดเร็ว และเป็นเมืองที่มีความทันสมัย มีแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ มากมาย แต่ก็ยังคงแฝงเร้นไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สุดคลาสสิก อ่อนช้อย อันทรงคุณค่า เป็นการผสมผสานได้อย่างน่าชื่นชม บ้านเมืองเขาสวยจริงๆ


          จากเมืองใหญ่ที่มีแต่ความเจริญไปทุกจุดพาให้น่าชื่นชม เล่นเอาเท้าคู่ใจบ่นเมื่อย เลยอยากไปผ่อนคลาย ปล่อยกายใจฝากไปกับสายลมที่เมืองเล็กๆ กันบ้าง เลยบอกน้องเท้าทนอีกนิดนะ เดี๋ยวกำลังจะพาไปเข้าสปากันที่


          Burgenland (บูร์เกนลันด์) รัฐที่มีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียคือ ทะเลสาบนอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) รัฐบูร์เกนลันด์ อยู่ทางตะวันออกของออสเตรีย และเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดของประเทศ แต่เราว่ามันเงียบสงบดีออก ธรรมชาติก็สมบูรณ์ งดงามไปด้วยขุนเขาที่โอบล้อม บูร์เกนลันด์เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ ช่างเหมาะกับสาวอารมณ์ติสอย่างเราเสียจริง เพราะบางครั้ง ก็อยากหลีกลี้หนีหน้าผู้คน ถึงแม้ว่าจะเป็นการท่องโลกต่างแดน แต่มันก็คือการพักผ่อนเพื่อรีชาร์ตตัวเอง นอกเหนือจากเอาตัวไปเบียดฝรั่งตัวโตอยู่ใจกลางจัตุรัส


          การได้เข้าถึงชีวิตคนท้องถิ่นต่างหาก ถึงจะเรียกว่าการมาเที่ยวอย่างแท้จริง เพราะมาเมืองเขาก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวตามวัฒนธรรม ที่บูร์เกนลันด์มีตลาดนัดท้องถิ่นเล็กๆ ให้ได้สัมผัสวิถีชาวบ้าน พอตะวันคล้อยต่ำ อาทิตย์ยามอัสดงช่างสวยงามจับตา นั่งชมพอหอมปากหอมคอ แล้วเดินต่อไปยังสปาที่ขึ้นชื่อของที่นี่ แล้วมีคนกระซิบบอกว่า หากสบายตัวแล้วต้องมานั่งจิบไวน์ เพราะมันก็โด่งดังไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมผจญภัยที่หลากหลายตลอดทั้งปี เท่านี้ก็คงฉ่ำชื่นแล้วกับบูร์เกนลันด์


          และแล้วก็สบายตัว สบายใจ หายปวดเมื่อย เดี๋ยวขอจิบไวน์ก่อนหลับฝันดี พรุ่งนี้จะพาไปลุยต่อในเมืองใหญ่ อืม…ติสอีกและ เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ เอาน่า…การเดินทางมันก็แบบเนี้ย ต้องปรับตัวปรับแผนกันตลอด เอาเป็นว่าเด็ดแล้วกัน


          เมื่อวันวานผ่านสู่วันใหม่ มาทำตัวให้แจ่มใส แล้วลุยกันต่อเลยดีกว่ากับอีกสองเมืองใหญ่ และหนึ่งพิพิธภัณฑ์สุดแปลก ที่แฝงไว้ด้วยความขบขัน หยิกแกมหยอก ขบกัดกันแบบพิลึกพิลั่น แนวคนชอบประชดประชันอะไรทำนองนั้น

          เมืองที่กำลังจะไปนี้ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของออสเตรีย ส่วนจะมีอะไรน่าสนใจ และมีความงดงามขนาดไหนต้องไปดูกัน


          Salzburg (ซาลส์บูร์ก) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของออสเตรีย และยังเป็นบ้านเกิดของคีตกวีระดับโลกอย่าง โวล์ฟกังก์ อมาเดอุส โมซาร์ท เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูกันดี ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือทำนองดนตรีที่ไพเราะ อีกทั้งท่วงทำนองดนตรีของโมซาร์ทยังช่วยในการพัฒนาสมองของเด็กๆ อีกด้วย


          เมืองซาลส์บูร์ก เต็มไปด้วยงานศิลปะแบบบาโรค ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม และรวมถึงงานศิลปะแขนงอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นนครหลวงแห่งศิลปะบาโรคเลยทีเดียว จึงไม่แปลกที่เมืองนี้เป็นที่ชุมนุมของศิลปิน และเหล่าบรรดาผู้ที่หลงใหลในเสียงดนตรี นอกจากนี้ เมืองซาลส์บูร์กยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำซาลซักค์ (Salzach) ซึ่งเป็นเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเทือกเขาแอลป์ เพื่อที่จะข้ามไปสู่ประเทศเยอรมันนี เนื่องจากอยู่ติดชายแดนระหว่างสองประเทศพอดิบพอดี จึงทำให้มีธรรมชาติที่งดงามดุจดั่งภาพเขียน  อีกทั้งยังมีคูคลองพาดผ่านตัวเมือง เลยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนออสเตรียและนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ว่าจะมานั่งเล่นดนตรี หรือมานั่งละเลงสีบนผืนผ้าใบ ทำเอาคันไม้คันมือตามไปด้วย


          ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่เมืองซาลส์บูร์กส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมัน นั่นก็อาจเป็นเพราะอยู่ติดชายแดน อีกทั้งมีการเข้าออกของคนเยอรมัน จึงไม่แปลกที่ชื่อเมืองนี้จะมีความหมายว่าตามภาษาเยอรมันว่า "ปราสาทเกลือ" เพราะคำว่า ซาลส์ ในภาษาเยอรมันแปลว่า เกลือ หากแปลตามตัวก็อาจจะเป็นการเปรียบเทียบเรือขนเกลือจำนวนมากที่เปรียบเสมือนปราสาทนั่นแหละ เพราะสมัยก่อน ในดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งค้าเกลือขนาดใหญ่ ซึ่งมันมีความจำเป็นมากสำหรับคนเมืองหนาว ที่ต้องมีเกลือเอาไว้ถนอมอาหาร หากในสมัยนั้นบ้านใดมีเกลือนี่นับว่ารวยพอๆ กับมีทองเลย ดินแดนแถบนี้เลยกลายเป็นดินแดนแห่งผู้มั่งมีตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน

          ออกจากเมืองใหญ่แล้วค่อยๆ ถลาบินเลียบลงจอดที่เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งฮิตเลอร์


          Linz (ลินซ์) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรีย และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองแห่งฮิตเลอร์ เพราะหากมาถึงเมืองลินซ์แล้ว ก็จะได้พบอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์แน่ๆ เพราะพวกเขาคงไม่ซุกเรื่องราวต่างๆ สมัยนาซีครองอำนาจไว้ใต้พรมหรอก


          ถึงแม้ว่าฮิตเลอร์ไม่ได้เกิดที่เมืองลินซ์ แต่เขาก็มาพำนักอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาถึง 9 ปี อีกทั้งยังคิดแผนการใหญ่อย่าง การที่จะสร้างเมืองที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดินาซีบนแม่น้ำดานูบ การที่จะสร้างโรงแรมระดับห้าดาวโดยให้ชื่อว่า "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" หรือหอระฆังขนาดสูงเพื่อเป็นที่เก็บศพของพ่อและแม่ และอีกมากมาย แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่สามารถสร้างฝันทั้งหมดให้เป็นความจริงได้ หากใครชอบที่จะเรียนรู้เรื่องราวของผู้นำนาซีจอมเผด็จการคนนี้แบบถึงกึ๋น ต้องเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์อัพเพอร์ ออสเตรียน สเตท ที่เมืองลินซ์ เพราะจะมีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ เมื่อครั้งนาซีเรืองอำนาจ พร้อมมีออดิโอไกด์คอยบรรยาย รับรองอิ่มสมอง

          เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ผู้คนทั่วไปต่างพากันจงเกลียดจงชังผู้นำจอมเผด็จการคนนี้ แต่เมืองลินซ์กลับได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป แล้วทางตัวเมืองลินซ์เอง ก็ยังเอานามฮิตเลอร์มาเป็นตัวชูโรง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่สำหรับเราแล้วคิดว่ามันก็น่าสนใจดี ที่ได้รับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่แสนสาหัสของดินแดนหนึ่งบนโลกใบนี้ แต่สำหรับคนยุโรปแล้ว ความรู้สึกมันต่างตรงที่ว่า พวกเขาได้รับความเจ็บปวดทรมานจากการกระทำที่ผ่านมาของผู้นำจอมเผด็จการ เหมือนแผลลึกในใจที่ยากต่อการลบเลือน ก็คงต้องรอดูว่า ลินซ์ จะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่

          อิ่มสมองแบบหนักๆ บนความรู้สึกที่สนุกปนสลดใจอย่างบอกไม่ถูก แต่อดีตมันก็ผ่านไปแล้ว มาเริ่มต้นใหม่กันดีกว่านะลินซ์ เมื่อภาระกิจในเมืองลินซ์เสร็จสิ้นจึงซอยเท้า ลั้น ลา ต่อทันทีที่พิพิธภัณฑ์สุดพิลึก


          Nonseum (นอนเซียม) คือพิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากกรุงเวียนนาออกมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ในแฮร์นบามการ์เทน (Herrnbaumgarten) ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนสาธารณรัฐเช็ก


          เป็นหมู่บ้านที่มีความพิลึกทั้งการแสดงออก และนิสัยของชาวบ้าน ประมาณว่าเป็นหมู่บ้านของกลุ่มคนที่มีอารมณ์เสียดสี และชอบประชดประชันแบบแปลกๆ แต่ก็อัธยาศัยดีนะ บางทีก็ดีเว่อร์ ในหมู่บ้านนี้มีพิพิธภัณฑ์นอนเซียม ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีใครต้องการ อืม…แค่ฟังคอนเซ็ปก็รู้แล้วว่าแดกดัน เอาแค่ว่าเพียงก้าวเท้าเข้าไปยังหมู่บ้านนี้ก็รู้สึกถึงความแปลกแล้ว ก็มีอย่างที่ไหน บ้านอะไรเนี่ย เล่นเอาเทคไทมาขึงเป็นราวแขวนติดผนังเป็นร้อย นี่กำลังประชดอะไรอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ยังมีพวกถุงเท้า ที่ถูพื้น อะไรอีกมากมาย เออ…ดีแฮะ จะว่าไปก็น่าสนใจ เพราะเป็นการระบายออกที่ไม่ต้องเดือดร้อนใครดี


          โบกมือบายออสเตรียด้วยความมึนงงกับหมู่บ้านพิลึก แล้วเซบายให้จอมเผด็จการ ขอบคุณที่ทิ้งเรื่องราวมากมายให้ได้ศึกษา ทั้งที่มันยังคงความเจ็บปวด แต่ในวันนี้ขอบอกว่าออสเตรียได้เปลี่ยนไป ความสดใสและความรุ่งเรื่องได้เข้ามาแทนที่ แล้วโอกาสหน้าคงได้เจอกันอีก

คำสาปราชวงศ์โรมานอฟ




หากพูดถึงเรื่องคำสาปที่มีอยู่จริง คงหนีไม่พ้นเรื่องคำสาปราชวงศ์โรมานอฟ ตระกูลของจักรพรรดิผู้ปกครองรัสเซียมาตั้งแต่ปี 1613 ไปจนถึงการปฏิวัติในปี 1917 

                            

โดยคำสาปของราชวงศ์โรมานอฟ ต้องพบเจอความโชคร้ายตลอด 3 ศตวรรษแห่งการปกครอง บ้างเชื่อว่ามีคำสาปที่ส่งผลให้กว่า 280 ชีวิตต้องตายก่อนวันอันควร ไม่ว่าจะด้วยอุบัติเหตุหรือโรคร้าย! โดยหลังจากพิธีอภิเษกสมรส สิ่งปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของซาร์คือการมีเจ้าชายรัชทายาทผู้ที่จะเป็นประมุขคนต่อไป แต่เหมือนสวรรค์แกล้งเพราะองค์กลับได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย



 ซาร์และซาริน่ายังไม่ได้ละความพยายาม ทั้งสองร่วมกันสวดอ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย  จนกระทั้ง ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาทนาม อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ อย่างสมพระทัย
                แต่ดั่งสรรค์กลั่นแกล้งอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อย ทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนอาจซ็อกสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา

                               

 และที่เลวร้ายที่สุด คือการสังหารหมู่อย่างโหดร้ายจักรพรรดิซาร์นีโคไลที่ 2 และครอบครัวโดย กลุ่มคอมมิวนิสต์ บอลเชวิก ทั้งนี้  สมบัติของราชวงศ์โรมานอฟหลายชิ้นสูญหายไปในระหว่างทางในระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. 1917 บางชั้นที่หาค่ามิได้ ถูกเก็บไว้ในพระราชวังเครมลินที่มอสโคว์  เป็นตัวแทนที่ยังเหลืออยู่ของราชวงศ์ที่สูญสิ้นไม่หวนคืนมา


ดอกมาร์กาเร็ต

                             

                                                               




                            



เข้าสู่ต้นฤดูหนาวกันแล้ว มาหาไม้ดอกสำหรับฤดูหนาวมาลองปลูกกันบ้าง ช่วยเพื่อบรรยากาศในบ้านของเราให้สดชื่นเพิ่มมากขึ้น ขอแนะนำดอกมาร์กาเร็ต ที่มีสีม่วงและขาว จริงๆแล้วก็ปลูกได้ทุกฤดู แต่ในฤดูหนาวจะสวยเป็นพิเศษ หาพันธ์ุมาปลูกกันเลยค่ะ
ต้นมาร์กาเร็ต ชื่อวิทยาศาสตร์ ASTER NOVIBELGII L., MICHAELMAS DAISY  วงศ์ COMPOSITAE ต้นมาร์กาเร็ตเป็นพืชล้มลุกอายุยืนหลายปี ลำต้นเป็นแบบไหลทอดเลื้อยตามพื้นดินมีข้อปล้องสั้นและสามารถงอกต้นใหม่ได้ตามข้อ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปใบหอกปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักซี่ฟัน ใบออกแบบเรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อ มีสีม่วงและขาว ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือการแยกต้น
การปลูก ปลูกกับดินร่วน ให้น้ำสม่ำเสมอ ชอบแสงแดด
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ

                          

                          


Walter Elias Disney




                                                           Walter Elias Disney







วอลต์  ดิสนีย์ (Walter Elias Disney)


เป็นผู้พัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพยนตร์ให้ทันสมัยมากขึ้น เป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรรค์ ผลงานที่มีจินตนาการสูง 
เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1901 ที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1966

            วอลต์  ดิสนีย์ ได้เริ่มเรียนการเขียนการ์ตูนทางไปรษณีย์และได้เข้าเรียนที่ Kansas City Art  Institute และ School of Design  เมื่อดิสนีย์อายุได้ 16 ปี เขาได้ศึกษาวิชาการถ่ายภาพที่แมกคินลีย์ไฮและวาดภาพประกอบในหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ขณะนั้นก็ได้ศึกษาการวาดภาพการ์ตูนไปด้วย   ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดิสนีย์ได้ทำงานเขียนภาพและลงหมึกให้กับสำนักงานผลิตงานศิลปะเพื่อการค้า และได้พบกับ อับ โอเวิกส์ (Ub Iwerks) ศิลปินหนุ่มซึ่งต่อมากลายเป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษาที่ทรงอิทธิรองจากรอย ดิสนีย์ ซึ่งเป็นพี่ชายของวอลต์ ดิสนีย์  ต่อมา วอลต์ ดิสนีย์และโอเวิกส์ได้ทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตนเอง และได้ทดลองสร้างการ์ตูนตัวใหม่ขึ้นอีกตัวหนึ่ง คือ มิกกี้ และแฟนสาว ชื่อ มินนี ที่โด่งดัง  ใน ค.ศ. 1929 วอลต์ และรอย ดีสนีย์ ได้จัดตั้งบริษัทดิสนีย์โปรดักส์ชันส์ขึ้นเพื่อดำเนินการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนและประสบความสำเร็จตลอดทศวรรษที่ 1930  จากนั้นเขาก็ได้สร้างตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย และสามารถชนะใจของผู้ชมทั่วโลกได้  ไม่นานหลังจากนั้นดิสนีย์ก็ได้คิดสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวควบคู่ไปกับภาพยนตร์ขนาดสั้น ในทศวรรษ 1950 ดิสนีย์ได้สร้างสวนสนุกขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงชื่อว่า ดิสนีย์แลนด์  (Disneyland) ในนครลอสแอนเจลิส  ซึ่งเปิดใน ค.ศ. 1955 เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในฐานะผู้สร้างผลงานในวงการบันเทิงที่มีผู้นิยมชมชอบอย่างกว้างขวางทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน และนับเป็นบุคคลที่น่ายกย่องในการมุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝันของตนเองตั้งแต่วัยเด็กให้เป็นจริง

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เฮอร์นาน คอร์เตซ ผู้พิชิตแดนเม็กซิโก ความพินาศของชนเผ่าแอซแทค

เฮอร์นาน คอร์เตซ ผู้พิชิตแดนเม็กซิโก ความพินาศของชนเผ่าแอซแทค

เมื่อพูดถึงชาวสเปนผู้พิชิตอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนอเมริกาใต้กันแล้วละก็ " เฮอร์นาน คอร์เตส" ก็เป็นอีกนามหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญกันมากที่สุดคนหนึ่ง ในยุค แห่งการสำรวจทางทะเล หรือดินแดนโลกใหม่ เมื่อช่วง 500 ปีที่แล้ว โดยชาวสเปนผู้นี้ สามารถพิชิต "อาณาจักรแอซเท็ก" หนึ่งในอาณาจักรอันเลื่องชื่อ แห่งแดนอเมริกาใต้ ได้อย่างราบคาบ คือ ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ถึงกาลล่มสลายกันไปเลย ภายหลังจากคอร์เตส นำกำลังทหารชาวสเปนเข้าทำสงคราม ก่อนที่จะจับ กษัตริย์ม็อกเตซูมา ที่ 2 องค์ประมุขเป็นเชลย ส่งผลให้อาณาจักรแอซเท็กถึงกาลอวสาน เมื่อปี พ.ศ. 2064 จากการที่กองทัพสเปนภายใต้การนำของคอร์เตส ได้รับชัยชนะครั้งนี้ ก็เปรียบ เสมือนเป็นการเปิดประตูให้ทัพสเปนเดินทางรุกคืบยึดดินแดนบริเวณตอนในของเม็กซิโกต่อไป

หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก

                        หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก

                         
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า วิวัฒนาการของการเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองผ่านตัวอักษรนั้นมีให้เห็นกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก่อนที่ โจฮานน์ กูเตนเบิร์ก จะสามารถผลิตแท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จในปี 1447 เสียอีก     
        "The Roman Acta Diurna" ได้รับการจดบันทึกให้เป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์ในยุคต้นๆ โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงราว 59 ปีก่อนคริสตกาล โดยจูเรียส ซีซาร์ ผู้นำอาณาจักรโรมัน       
       ซีซาร์ต้องการให้ "The Roman Acta Diurna" ใช้เป็นที่แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล โครงการรณรงค์ทางด้านการทหาร กระบวนการพิจารณาคดี และการสำเร็จโทษต่างๆ ให้แก่พลเมืองได้รับทราบ ซึ่งลักษณะของการเผยแพร่ข่าวสารแบบ "The Roman Acta Diurna" ก็คือ การเขียนข้อความต่างๆ ลงบนกระดานขนาดใหญ่ แล้วนำไปตั้งไว้ตามสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน
     
        สำหรับการเผยแพร่ข่าวสารผ่านตัวอักษรลงบนกระดาษปรากฏให้เห็นครั้งแรกที่ประเทศจีนในราวศตวรรษที่ 8 โดยทางการจีนจะใช้วิธีเขียนข่าวสารลงบนกระดาษแล้วนำไปติดไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั้งหลายนั่นเอง     
        ทว่า หลังจากที่กูเตนเบิร์กประดิษฐ์แท่นพิมพ์ได้สำเร็จ ชาวยุโรปก็เริ่มใช้วิธีการพิมพ์ข่าวสารแทนการเขียนด้วยลายมือ แต่ในยุคแรกๆ ของการถือกำเนิดสิ่งพิมพ์นั้น การเผยแพร่ข่าวสารยังคงอยู่ในรูปแบบของ "จดหมายข่าว" มากกว่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข่าวสารด้านการค้าขาย     
        จวบจนกระทั่งในปี 1605 จึงได้มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลกเกิดขึ้น โดยเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า "Relation" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเยอรมนี จากนั้นประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฝรั่งเศส เบลเยียม อังกฤษ ก็เริ่มเอาอย่างบ้าง

เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน

เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน ผู้เดินเรือรอบโลกสำเร็จเป็นรายแรกของโลก แต่ไม่เหลือชีวิตกลับมา




                                      

ฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน (โปรตุเกส: Fernão de Magalhães; สเปน: Fernando de Magallanes; อังกฤษ: Ferdinand Magellan; ประมาณ พ.ศ. 2023 – 27 เมษายน 2064) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส 

เกิดที่เมืองซาโบรซาหรือโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส หลังรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและที่โมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้กับประเทศสเปน 

มาเจลลันได้เดินเรือออกจากเมืองเซวิลล์ในปี พ.ศ. 2062 เลาะไปตามชายฝั่งของ อเมริกาใต้ (แหลมเวอร์จิ้น) จนถึงมหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิก" ในปี พ.ศ. 2063


แมกเจลแลนถูกฆ่าตายในฟิลิปปินส์ แต่เรือของเขาก็ได้เดินทางกลับไปถึงสเปนในปี พ.ศ. 2065 ซึ่งเป็นการบรรจบรอบของการเดินทางรอบโลกเป็นครั้งแรก 

ชื่อของช่องแคบมาเจลลันเป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

เฟอร์ดินันด์ แมกเจลลัน มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช) สมัยอยุธยา