วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

นักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา

นิยามอาชีพ   
          วิจัยและศึกษากระบวนการทางจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ วินิจฉัยและให้การบำบัดรักษาหรือป้องกันความผิดปกติ/ความแปรปรวนทางจิต : ทดสอบ วิเคราะห์ ตรวจวินิจฉัย เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยา  เกี่ยวกับบุคลิกภาพ เชาว์ปัญญา ความฉลาด  ความสามารถ ทัศนคติ สภาพทางสมอง วุฒิภาวะทางจิตใจ  ประเมินผล ให้ คำปรึกษาแนะนำ บำบัดรักษาทางจิตวิทยา โดยจิตบำบัดรายบุคคล รายกลุ่ม     ครอบครัวบำบัด พฤติกรรมบำบัด ผลิตเอกสาร สื่อต่าง ๆ เผยแพร่ความรู้ เพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต  ป้องกัน  ควบคุมและรักษาการติดยาและสารเสพติด ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กรรมพันธุ์ สังคม อาชีพและปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมของบุคคล ให้คำปรึกษาแนะนำและบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตของแต่ละบุคคล หรือกลุ่มบุคคลด้วยการสนทนาพร้อมทั้งติดตามผล ในกรณีที่ยากแก่การบำบัดรักษาจำเป็นต้องขอความร่วมมือกับสมาชิกในครอบครัว   เจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาร่วมแก้ปัญหาในการบำบัดรักษาหรือปัญหาต่าง ๆ ศึกษาองค์ประกอบทางด้านจิตวิทยา เพื่อการบำบัดรักษาและป้องกันอาการป่วยทางจิตและอารมณ์หรือการแปรปรวนทางพฤติกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิชาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เขียนรายงานและเอกสารทางวิชาการ ปฏิบัติหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องและควบคุมดูแลผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ
ลักษณะของงานที่ทำ
1. ตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยา  โดยการใช้เครื่องมือทดสอบจิตวิทยาที่เป็นมาตรฐาน ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรม และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ และแปลผลการทดสอบ
2. บำบัดรักษาทางจิตวิทยา เป็นวิธีการบำบัดรักษาที่ไม่ต้องใช้ยา ซึ่งแตกต่างจากจิตแพทย์อาจบำบัดรักษา โดยการใช้ยาได้
3. ศึกษา ค้นคว้า วิจัยทางจิตวิทยาในสาขาที่ปฏิบัติงาน
4. ปฏิบัติงานส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน และป้องกันโรคเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ความรู้ทางจิตวิทยาในรูปแบบการสอน การฝึกอบรม เป็นต้นเพื่อให้ประชาชนมีแรงจูงใจ และสนใจจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา เพื่อพัฒนาตนเองให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น หรือพ้นจากภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต
ปัจจุบัน นักจิตวิทยาแบ่งตามประเภทของสาขาการศึกษาดังนี้ 
          - สาขาจิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology)  ทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ในการสำรวจปัญหาทางการศึกษา ตลอดจนสร้างหลักการทางจิตวิทยาที่มีระบบระเบียบวิธีการของตนเอง ถือเป็นศาสตร์หนึ่งทางด้านพฤติกรรมศาสตร์
          - สาขาวิทยาพัฒนาการ  (Developmental  Psychology)ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาความสามารถทางพฤติกรรมของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายอย่างเป็นลำดับขั้นตอนว่า มีกระบวนการพัฒนา แต่ละวัยอย่างไร  รวมทั้ง      ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่ต่างๆ ของการพัฒนาโดยเฉพาะทางจิตใจ
          - สาขาจิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา   พฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมอย่างเป็นระบบ เนื้อหาวิชารวมการปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด เช่น ศึกษาการรับรู้ การตอบสนอง ระหว่างบุคคล อิทธิพลของบุคคลที่มีต่อผู้อื่น ฯลฯ
          - สาขาจิตวิทยาการปรึกษา  (Counseling  Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยให้คนรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งทุกด้าน ช่วยให้คนรู้จักโลกและสิ่งแวดล้อมของตนช่วยให้คนรู้จักการพัฒนาและสามารถนำศักยภาพหรือความสามารถที่ตนมีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น  รู้จักเลือกและตัดสินใจอย่างฉลาดเพื่อแก้ปัญหาและปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างมี   ความสุข
          - สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial  Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการ นำความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในการดำเนินการคัดเลือกบุคคล พัฒนา  การบริหาร การจูงใจลูกจ้าง  วิจัยตลาด วิจัยด้านมนุษยสัมพันธ์ เพื่อตอบสนองธุรกิจและอุตสาหกรรม
          - สาขาจิตวิทยาคลินิค (Clinical Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการปรับตัวของมนุษย์โดยพยายามค้นหาสาเหตุว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือมีความผิดปกติทางจิตใจนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร นักจิตวิทยาคลินิคใช้หลักการและความรู้ทางจิตวิทยามาวิเคราะห์   และบำบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ปัญหาทาง      สุขภาพจิต โรคประสาท  การติดยาเสพติด ความผิดปกติทางเชาวน์ปัญญา    ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ตลอดจนปัญหาการปรับตัวอื่นๆ เพื่อค้นหาวิธีการปรับตัวและการแสดงออกที่ดีและเหมาะสมกว่า 
สภาพการจ้างงาน
          ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ส่วนใหญ่รับราชการในโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลจิตเวชโดยจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ในอัตรา 7,260 บาท สำหรับภาคเอกชน  หรือองค์การระหว่างประเทศ อาจจะได้รับเงินเดือนประมาณ 7,500-8,000 บาท หรืออาจจะถึง 15,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์กร และสถานที่ทำงานในแต่ละพื้นที่ ปฏิบัติงานวันละ  8  ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ  40 - 48   ชั่วโมง มีการปฏิบัติงานพิเศษนอกเหนือเวลาราชการในกรณีมีโครงการหรือกิจกรรมเฉพาะอย่าง ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้จะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากเงินเดือนตามระเบียบของทางราชการ หรือของภาคเอกชน ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายและแนวทางปฏิบัติของแต่ละสถานประกอบการ
สภาพการทำงาน
          ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ โดยทั่วไปปฏิบัติงานในห้องทำการรักษาเหมือนกับแพทย์   ทั่วไปและมีการออกไปเยี่ยมคนไข้หรือชุมชน การปฏิบัติหน้าที่อาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายจากคนไข้ ซึ่งมีอารมณ์ไม่ปกติได้ง่าย  ดังนั้น ห้องทำงานจึงควรจัดให้มีความปลอดภัยและมีผู้ช่วยดูแลในเรื่องความปลอดภัยของนักจิตวิทยาด้วยนักจิตวิทยาจะต้องปฏิบัติงานร่วมกับทีมจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์จิตเวช และพยาบาลจิตเวช
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
ผู้ประกอบอาชีพนี้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะสังคมศาสตร์, คณะมนุษยศาสตร์ในประเภทสาขาการศึกษาจิตวิทยา
2. มีความเมตตา โอบอ้อมอารี มีใจรักในอาชีพการบำบัดและรักษา และชอบบริการช่วยเหลือผู้อื่นและผู้ป่วย
3. มีคุณธรรม จริยธรรม มีความอดทนสูงและใจเย็น
4. ควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมีความร่าเริงอาจจะต้องมีการสอบขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ในอนาคตแต่ปัจจุบันยังไม่ต้องมี 
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ควรเตรียมพร้อมดังต่อไปนี้  :  ต้องสำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย แผนการเรียนวิทยาศาสตร์หรือเทียบเท่าหรือสายศิลป์  เพื่อสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในคณะสังคมศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์ เป็นต้น
โอกาสในการมีงานทำ
          เนื่องจากในประเทศไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมีผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่  สังคมเกิดสภาพบีบคั้นทางด้านการมีงานทำ คือการลดลงของรายได้ การเลิก    จ้างงานจนถึงส่งผลกระทบไปถึงสมาชิกในครอบครัว ทำให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เกิดความเครียด มีปัญหาทางด้านจิตใจไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงหันไปพึ่งยาเสพติดประเภทกล่อมประสาทที่มีการซื้อขายกันอย่างสะดวกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยคิดว่าจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและหนีปัญหาได้แต่เมื่อติดยาเสพติดแล้ว  บางรายอาจทำร้ายบุคคลในครอบครัว อีกทั้งสถิติการฆ่าตัวตาย ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  รัฐบาลได้ตระหนักถึงเหตุการณ์นี้และได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รักษาดูแล ป้องกันและบำบัดรักษา คือ นักจิตวิทยา นักจิตแพทย์ เพื่อช่วยเหลือบริการบุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทางด้าน   จิตใจขึ้นที่โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลจิตเวชทั่วประเทศ รวมทั้งการติดตั้งโทรศัพท์สายด่วนสุขภาพจิต  ตลอดจนจัดตั้งเว็บไซต์ เพื่อบริการให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต ให้คำปรึกษาแนะนำ และให้แนวทาง  แก้ปัญหา สุขภาพจิตที่ถูกต้อง ดังนั้น  อาชีพนักจิตวิทยาจึงเป็นที่ต้องการของสังคมอย่างมากในยุคปัจจุบันนอกจากนี้ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาทุกแห่ง  รวมทั้งในองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่หวังผลกำไรอย่าง  เช่น  มูลนิธิต่างๆที่ดูแลเด็กที่ด้อยโอกาส หรือหญิงที่ถูกทำร้าย  ตลอดจนคลินิกรักษาผู้เสพยาเสพติด ก็ต้องการนักจิตวิทยาเช่นกัน  แต่ขณะนี้ยังมีการจ้างงานจำนวนน้อย 
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
          สำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้ ในโรงพยาบาลของรัฐบาล จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามสายงานจนถึงระดับสูงสุด ที่ระดับ 8 สำหรับในภาคเอกชนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงสุดตามโครงสร้างขององค์กร
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
          ครู - อาจารย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในมูลนิธิต่างๆ องค์การระหว่างประเทศที่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัย  ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลในองค์กรธุรกิจเอกชน เจ้าหน้าที่องค์กรและพัฒนาเอกชนทั่วประเทศ 

เชื่อหรือไม่!! ทรายบนโลกนี้กำลังหมดไป..

เชื่อหรือไม่!! ทรายบนโลกนี้กำลังหมดไป..

                       



นักเศรษฐศาสตร์นามว่า Milton Friedman เคยเตือนว่า หากมีการใช้ประโยชน์จากทะเลทรายซาฮาร่าไม่ว่าจากรัฐบาลหรือตลาดเสรีนั้นจะทำให้อีก 5ปี ทรัพยากรชนิดนี้อาจหมดสิ้นไป

คำเตือนดังกล่าวนั้นไม่ได้เกินจริงเลยเมื่อในตอนนี้โลกเรากำลังก้าวไปสู่การใช้ทรัพยากรในด้านนี้ ลงไปกับการก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อการพัฒนาธุรกิจหรือประเทศ อีกทั้งปัญหาจากการfracking รวมไปถึงขาดการจัดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จนในตอนนี้ทรายในซาอุดิอาระเบียกำลังหมดไป

ทั้งนี้ ดูแล้วทรายน่าจะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในโลก ซึ่งมีประมาณ 7,000,000,000,000,000,000 แต่ก็ถือว่าเป็นทรัพยากรเฉกเช่นเดียวกับน้ำมัน น้ำและฮีเลียมที่มีวันหมดไป และคุณสมบัติของทรายที่ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับทรัพยากรอื่นๆ แต่ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สามารถให้คุณประโยชน์ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะเป็นส่วนสำคัญในการก่อสร้างอาคาร เขื่อน รวมไปถึงยังใช้ในโครงสร้างการพิมพ์ 3 มิติ และการออกแบบอาคารในอนาคต เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่มาของความต้องการใช้ทรัพยากรชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ 

ตัวอย่างในปี 2009 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดการเจริญเติบโตในอุตสาหกรรมการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาความขาดแคลนทรายที่มีคุณภาพสูง  ทำให้ประเทศบาห์เรนและประเทศอื่น ๆ ในอ่าวเปอร์เซีย นั้นเริ่มที่จะจำกัดการส่งออกทราย และไม่นานหลังจากนี้ ทรายจะถูกนำเข้ามาเพื่อเติมเต็มชายหาดที่ถูกกัดเซาะในสถานที่ไม่ว่าจะเป็นซีซาหรือโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นและก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่อาจหมดไปทุกที 

ที่มาและภาพประกอบ www.greenprophet.com
แปลและเรียบเรียงบทความโดย Copyright© www.energysavingmedia.com

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

ชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา

                               




                                     ชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา

                                    ชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา

Story
การค้นพบทางโบราณคดี ทฤษฎี และงานวิจัยใหม่ๆด้านพันธุกรรม ช่วยไขปริศนาที่มีมานานเรื่องชนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกา
บหน้าแรกของมนุษย์คนแรกๆในทวีปอเมริกาเป็นของเด็กหญิงวัยรุ่นผู้อับโชคที่ตกลงไปเสียชีวิตในถ้ำบนคาบสมุทรยูกาตานเมื่อราว 12,000 ถึง 13,000 ปีมาแล้ว เรื่องราวการค้นพบเธอเปิดฉากขึ้นในปี 2007 เมื่อทีมนักดำน้ำชาวเม็กซิกันนำโดยอัลเบร์โต นาบา พบสิ่งที่น่าตื่นใจ นั่นคือถ้ำมหึมาใต้น้ำที่พวกเขาตั้งชื่อว่า โอโยเนโกร (Hoyo Negro) หรือ “หลุมดำ” แสงไฟของพวกเขาส่องให้เห็นกระดูกสมัยก่อนประวัติศาสตร์กองสุมอยู่บนพื้นถ้ำอันมืดมิด รวมทั้งโครงกระดูกมนุษย์ที่เกือบจะสมบูรณ์อย่างน้อยหนึ่งโครง
นาบารายงานการค้นพบนี้ไปยังสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติของเม็กซิโก ซึ่งได้รวบรวมทีมนักโบราณคดีและนักวิจัยสาขาอื่นๆจากนานาชาติมาทำการสำรวจถ้ำและสิ่งที่อยู่ภายใน โครงกระดูกซึ่งได้รับการขนานนามอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า ไนอา (Naia) ตามชื่อของนางไม้ที่สิงสถิตอยู่ในน้ำในเทพปกรณัมกรีก ได้กลายเป็นโครงกระดูกเก่าแก่ที่สุดโครงหนึ่งเท่าที่เคยพบในทวีปอเมริกา และเป็นโครงกระดูกแรกสุดที่อยู่ในสภาพดีพอจะใช้เป็น ฐานเพื่อจำลองใบหน้าขึ้นใหม่ แม้แต่นักพันธุศาสตร์ยังสามารถสกัดตัวอย่างดีเอ็นเอของเธอได้
เศษซากและหลักฐานเหล่านี้อาจร่วมกันไขปริศนาที่มีมานานเรื่องการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในทวีปอเมริกา กล่าวคือถ้าชาวอเมริกันพื้นเมืองสืบเชื้อสายมาจากผู้บุกเบิกชาวเอเชียซึ่งอพยพมายังทวีปอเมริกาตอนปลายสมัยน้ำแข็งครั้งสุดท้าย เหตุไฉนพวกเขาจึงไม่มีความคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษยุคโบราณของตนเลย
จากรูปลักษณ์ทุกอย่างที่เห็น ชนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาเป็นพวกก้าวร้าวเลือดร้อน หากเรามองดูซากโครงกระดูกของคนในทวีปอเมริกาสมัยดึกดำบรรพ์ (Paleo-American) จะเห็นว่า ผู้ชายกว่าครึ่งได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรง และสี่ในสิบคนมีรอยแตกร้าวที่กะโหลกศีรษะ ซึ่งไม่คล้ายกับรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุในการล่าสัตว์ และไม่มีร่องรอยใดบ่งบอกถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กลับดูเหมือนว่าเป็นการต่อสู้กันเอง
พวกผู้หญิงไม่มีการบาดเจ็บในลักษณะนี้ แต่มีรูปร่างเล็กกว่าพวกผู้ชายมาก อีกทั้งมีร่องรอยของภาวะทุพโภชนาการและการเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัว
ในความเห็นของจิม แชตเทอร์ส นักโบราณคดีและผู้นำร่วมของทีมวิจัยโอโยเนโกร เห็นว่า ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า คนในทวีปอเมริการุ่นแรกสุดเป็นพวกที่เขาเรียกว่า “คนเถื่อนของซีกโลกเหนือ” คือมีความกล้าบ้าบิ่นและก้าวร้าว  พวกผู้ชายมีความเป็นชายสูงเกินปกติ ส่วนพวกผู้หญิงมีร่างเล็กและอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายชาย เขาคิดว่านี่คือเหตุผลที่ลักษณะใบหน้าของคนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาดูช่างแตกต่างจากใบหน้าของชาวอเมริกันพื้นเมืองรุ่นหลังๆมาก คนเหล่านี้เป็นนักบุกเบิกและชอบเสี่ยงภัย พวกผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติและชนะในการต่อสู้แย่งชิงผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ ลักษณะนิสัยแกร่งกร้าวและรูปร่างบึกบึนจึงได้รับคัดเลือกมากกว่าพวกที่นุ่มนวลและก้าวร้าวน้อยกว่า ซึ่งปรากฏให้เห็นในประชากรรุ่นต่อๆมาที่อยู่เป็นหลักแหล่งมากขึ้น
ไนอามีลักษณะใบหน้าเหมือนคนในทวีปอเมริการุ่นแรกสุดทั่วไป เช่นเดียวกับลายเซ็นทางพันธุกรรม (genetic signature) แบบเดียวกับที่พบในชาวอเมริกันพื้นเมืองปัจจุบัน นี่แสดงว่าคนทั้งสองกลุ่มไม่ได้แตกต่างกันเพราะประชากร รุ่นแรกสุดถูกแทนที่ด้วยประชากรรุ่นหลังๆซึ่งอพยพมาจากเอเชีย ดังที่นักมานุษยวิทยาบางคนยืนยัน หากเกิดจากการที่ประชากรกลุ่มแรกวิวัฒน์หรือเปลี่ยนแปลงไปหลังมาถึงทวีปอเมริกาแล้วต่างหาก
ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ยี่สิบ เป็นที่เข้าใจกันว่า ปริศนาเกี่ยวกับคนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาได้รับการไขให้กระจ่างแล้วไม่มากก็น้อย ย้อนหลังไปเมื่อปี 1908 โคบาลคนหนึ่งที่หมู่บ้านฟอลซอม รัฐนิวเม็กซิโกพบซากของไบซันโบราณซึ่งเป็นชนิดย่อยที่สูญพันธุ์ไปแล้วของไบซันเขายาว พวกมันเคยท่องไปทั่วพื้นที่แถบนั้นเมื่อกว่า 10,000 ปีมาแล้ว ต่อมานักวิจัยของพิพิธภัณฑ์พบปลายหอกปะปนอยู่กับกองกระดูก ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่ามีคนอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือมาเนิ่นนานก่อนช่วงเวลาที่เราเคยเชื่อกัน หลังจากนั้นไม่นานก็พบปลายหอกอายุ 13,000 ปีใกล้กับเมืองโคลวิส รัฐนิวเม็กซิโก และภายหลังก็มีผู้พบสิ่งที่รู้จักกันในนามปลายหอกโคลวิสนี้ในแหล่งโบราณคดีต่างๆอีกหลายสิบแห่งทั่วทวีปอเมริกาเหนือ
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า ทวีปเอเชียและทวีปอเมริกาเหนือเคยเชื่อมต่อกันด้วยมวลแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เรียกว่า เบอรินเจีย (Beringia) ในช่วงสมัยน้ำแข็งครั้งสุดท้าย กอปรกับชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกาดูเหมือนจะเป็นพวกพรานล่าสัตว์ใหญ่ที่เคลื่อนย้ายตลอด จึงฟังดูสมเหตุสมผลที่จะสรุปว่า พวกเขาคงตามแมมมอทและสัตว์ที่ล่าอื่นๆออกมาจากทวีปเอเชีย ข้ามเบอรินเจียลงมาทางใต้ ผ่านฉนวนเปิดหรือเส้นทางระหว่างพืดน้ำแข็งแคนาดาขนาดมโหฬารสองแผ่น และในเมื่อไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดมาสนับสนุนว่าเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ก่อนช่วงเวลาของพรานโคลวิส จึงเป็นที่มาของทฤษฎีที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางมาตลอดว่า พรานโคลวิสคือชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี 1997 เมื่อทีมนักโบราณคดีมีชื่อหลายคนไปเยือนแหล่งโบราณคดีชื่อมอนเตเวร์เด (Monte Verde) ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ที่นั่น ทอม ดิลเลเฮย์ จากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ อ้างว่าได้พบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์เมื่อกว่า 14,000 ปีมาแล้ว คำกล่าวอ้างนี้จุดประเด็นโต้แย้งเช่นเดียวกับการกล่าวถึงมนุษย์ก่อนยุคโคลวิสอื่นๆ ดิลเลเฮย์ถึงกับถูกกล่าวหาว่าไปจัดฉากโบราณวัตถุและสร้างข้อมูลขึ้นมาเอง แต่หลังจากพิจารณาหลักฐานซ้ำอีกครั้ง ทีมผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า คำกล่าวอ้างของเขามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ในช่วง 18 ปีนับตั้งแต่ “ระเบิด” มอนเตเวร์เดตกลงมาสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการโบราณคดี  คำถามดั้งเดิมที่ว่า โคลวิสคือคนกลุ่มแรกใช่หรือไม่  ได้รับคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลักฐานจากแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในทวีปอเมริกาเหนือเผยให้เห็นว่า เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนยุคโคลวิส โดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีเดบรา แอล. ฟรีดกิน (Debra L. Friedkin Site) ทางตอนกลางของรัฐเทกซัส ซึ่งอาจถึงกับเป็นสถานที่อยู่อาศัย แห่งแรกสุดของมนุษย์ในซีกโลกตะวันตกที่สามารถพิสูจน์ได้
เมื่อปี 2011 ไมเคิล วอเตอร์ส นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม ประกาศว่า เขาและทีมงานขุดพบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์เป็นบริเวณกว้าง โดยมีอายุเก่าแก่ถึง 15,500 ปี หรือราว 2,500 ปีก่อนพรานโคลวิสกลุ่มแรกจะมาถึง แหล่งโบราณคดีฟรีดกินตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆ ห่างจากเมืองออสตินไปทางเหนือราวหนึ่งชั่วโมงทางรถยนต์ ที่นั่นมีธารน้ำเล็กๆไหลรินชั่วนาตาปี ปัจจุบันเรียกว่า ลำธารบัตเตอร์มิลก์ ขนาบข้างด้วยต้นไม้ให้ร่มเงาและชั้นหินเชิร์ตซึ่งเป็นหินที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้พื้นที่แถบนี้เหมาะแก่การอยู่อาศัยของผู้คนตลอดระยะเวลาหลายพันปี
“หุบเขาแห่งนี้มีบางอย่างต่างจากที่อื่นครับ” วอเตอร์สบอก เราเคยคิดกันมานานว่า คนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาเป็นพวกล่าสัตว์ใหญ่กันเป็นหลัก โดยติดตามแมมมอทและมาสโตดอนพันธุ์อเมริกันข้ามทวีปเข้ามา แต่หุบเขานี้เป็นทำเลเหมาะมากสำหรับพวกเก็บของป่าล่าสัตว์ ผู้คนที่นี่น่าจะกินถั่วและรากพืช กุ้งเครย์ฟิชและเต่า และคงล่าสัตว์ เช่น กวาง ไก่งวง และกระรอก พูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้คงไม่ได้มาแวะพักระหว่างเดินทางต่อไปยังที่อื่น แต่พวกเขาอยู่อาศัยกันที่นี่
วอเตอร์สบอกว่า “ผมคิดว่าข้อมูลนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ามีคนเข้ามาอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 16,000 ปีก่อน เวลาจะพิสูจน์ว่าหลักฐานดังกล่าวคือตัวแทนของการอยู่อาศัยแรกเริ่มในทวีปอเมริกาได้หรือไม่ หรือว่ามีอะไรอื่นที่เก่ากว่านี้”


Kate Winslet - What If