วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำไมฟินแลนด์ถึงเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก

                               


                  Finland


ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน (น้อยกว่ากรุงเทพซะอีก) ซึ่งคนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของประเทศนี้นัก แต่ถ้าบอกว่าประเทศนี้แหละ คือต้นกำเนิดของ Nokia มือถือที่ (เคย) ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่ถือกำเนิดในฟินแลนด์ ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้เริ่มต้นมาจากพื้นฐานด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเยี่ยม มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้การพัฒนาคุณภาพประชากรที่นี่มีคุณภาพ

ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด โดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา โดยการจัดอันดับนี้ใช้รูปแบบการวัดความสามารถในการแก้ปัญหา (ไม่ใช่การทำข้อสอบ) และการอ่านเขียน (ภาษาของตนเอง) ที่ชื่อ PISA (Program for International Student Assessment) ผลคือ นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น "นักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก" ประเมินจากนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับของนักเรียนจำนวน 65 ประเทศ


สิ่งที่ทำให้การศึกษาของฟินแลนด์แตกต่างจากประเทศอื่นๆ (โดยเฉพาะบ้านเรา) มีอะไรบ้าง เรามาดูกันค่ะ
                               finland-children

โรงเรียนอนุบาลไม่สำคัญเท่าเวลาจากครอบครัว
ที่ฟินแลนด์จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุ 6-7 ขวบ (ซึ่งที่บ้านเรานี่คือวัยเรียนประถมแล้ว) ที่นั่นไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล แต่อยากให้เด็กมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าครอบครัวสามารถให้ทั้งความรู้และความรัก ความเข้าใจในวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล ในขณะที่บ้านเราแม้แต่โรงเรียนอนุบาลยังต้องแย่งกันเข้าเรียน และพ่อแม่อยากรีบส่งลูกๆเข้าอนุบาล (หรือแม้แต่เตรียมอนุบาล) เพราะไม่มีเวลาดูแลเด็กๆด้วยตัวเอง ซึ่งฟินแลนด์ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหานี้ ฟินแลนด์ก็มีการเปิดรับนักเรียนตั้งแต่วัยเด็ก 8 เดือน - 5 ปี เช่นกัน เรียกว่า Daycare โดยที่ Daycare นั้นจะต้องมีสนามเด็กเล่นให้เด็กใช้วิ่งเล่นโดยที่ผู้ปกครองสามารถเข้าไปเป็นเพื่อนเล่นได้ โดยเปิดให้บริการฟรี แต้ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่ต้องการส่งลูกไปที่ Daycare ก็สามารถที่จะจัดบ้านตัวเองเป็น Daycare ได้และทางเทศบาลเมืองจะมีการจ่ายเงินสนับสนุนให้ด้วย!! เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองนั่นเองค่ะ และก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะรับเงินมาแล้วก็เลี้ยงลูกแบบทิ้งๆขว้างๆได้นะคะ เพราะทางเทศบาลเค้าจะมีการสุ่มตรวจอยู่เสมอว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกได้เหมาะสมหรือเปล่าค่ะ


                 Finland-Education

เรียนมากไปใช่ว่าจะดี เด็กควรมีเวลาทำในสิ่งที่สนใจ
เด็กในวัยประถมศึกษาที่ฟินแลนด์ จะเรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง เพราะเค้าเชื่อว่าเด็กวัยนี้ควรจะมีเวลาทำในกิจกรรมที่ตัวเองสนใจมากกว่า ในขณะที่เด็กไทยเรียนกันเช้ายันเย็น แล้วยังมีต่อเรียนพิเศษกันอีกในตอนค่ำ (อาจจะเพราะผู้ปกครองบางคนทำงานเลิกดึก ไม่มีเวลามารับลูกๆ ก็ส่งให้ลูกเรียนพิเศษต่อไปก็มี) ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความเครียด และเกิดความรู้สึกแย่ต่อการเรียนได้

     kids-at-desks-in-class

จำนวนเด็กในชั้นเรียนน้อย เพื่อการดูแลทั่วถึง
ห้องเรียนที่ฟินแลนดื จะกำหนดให้มีนักเรียนห้องละ 12 คน สูงสุดไม่เกิน 20 คน ยิ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็จะยิ่งจำกัดจำนวนเด็กในห้องให้น้อยลง (ซึ่งหลักการนี้จะคล้ายกับโรงเรียนสอนภาษาในประเทศอังกฤษที่ได้รับการรับรอง Highly Trusted) เพราะที่ฟินแลนด์จะเน้นการพัฒนาคน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้และการดำรงชีวิต ซึ่งนักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน การดูแลรายบุคคลจึงเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ ในขณะที่บ้านเรา โรงเรียนยิ่งดัง ยิ่งรับนักเรียนมาก (โรงเรียนที่แอดมินจบมา มีนักเรียนมากกว่า 3 พันคน และมีนักเรียนห้องละ 50 คน) และการเรียนการสอนจะปลูกฝังให้นักเรียนมีค่านิยมเดียวกันหมด เช่น ต้องเป็นหมอ เป็นวิศวกร โดยที่ไม่พยายามพัฒนาและสนับสุนศักยภาพที่เหมาะสมกับบุคคล

                findardized-tests

เพราะการศึกษาไม่ใช่การแข่งขัน ที่นี่จึงไม่มีเกรดเฉลี่ย
ที่ฟินแลนด์มองว่าการเรียนคือการพัฒนาแต่ละบุคคล ไม่ใช่การแข่งขัน ดังนั้นจึงไม่มีการให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวแบ่งแยกความภาคภูมิใจหรือความอับอายให้แก่เด็ก แต่เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้มากกว่า

                Finland-Student2


ไม่ใช้ข้อสอบกลางในการวัดระดับ
เพราะเขาเชื่อว่าแต่ละโรงเรียนมีจุดประสงค์และเป้าหมายในการให้การศึกษาแก่นักเรียนแตกต่างกัน ฟินแลนด์จึงไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐานในการวัดผลนักเรียน (ซึ่งข้อนี้สามารถทำได้ เมื่อโรงเรียนมีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ) ซึ่งต่างจากบ้านเราที่ใช้ข้อสอบกลางในการวัดผลนักเรียน เช่น O-Net, A-Net เป็นต้น
                    Finland-Education2

การบริหารโรงเรียนที่มีคุณภาพ
ที่ฟินแลนด์จะใช้การจ้างผู้อำนวยการมาบริหารโรงเรียน และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ถ้าผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ หรืออายุราชการในการคัดเลือกคนมาบริหาร ไม่ได้เลือกจากอาจารย์ในโรงเรียน แต่ใช้การคัดเลือกคนที่มีความสามารถในการบริหารจริงๆ เพราะเชื่อว่าการสอนเก่ง กับการบริหารเก่งนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ทำให้โรงเรียนเขามีคุณภาพ

                   Finland-Teacher

ครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและมีเกียรติ
ที่ฟินแลนดื ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู เพราะครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับ ไม่ต่างจากแพทย์ หรือ ทนายความ ระบบการศึกษาในฟินแลนด์กำหนดให้อาจารย์ประจำชั้นต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโทในคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่วนอาจารย์ประจำวิชาจะต้องจบการศึกษาในคณะวิชาที่สอนก่่อนและจึงมาศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาโทในคณะศึกษาศาสตร์ และยังมีข้อกำหนดพิเศษสำหรับครูการศึกษาพิเศษและครูแนะแนวต้องมีคุณวุฒิระดับปริญญาโทด้านการศึกษาพิเศษและการแนะแนวอีกด้วย

โดยกฎหมายฟินแลนด์กำหนดให้เด็กทุกคนเรียนการศึกษาภาคบังคับถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (เกรด 9) โดยรัฐบาลสนับสนุนงบ 85% และพอจบมัธยมต้นแล้ว แล้ว ก็จะจบการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่อยากเรียนต่อก็ได้ ส่วนใครที่อยากเรียนต่อ รัฐจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณให้ผู้เรียนเกือบทั้งหมด ยกเว้นค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์การเรียน ก็จะสามารถแบ่งไปได้ 2 ทางคือ
  • โรงเรียนมัธยมปลาย คือเรียนต่อไปเกรด 10-12  เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในสายวิชาการ เช่น แพทยศาสตร์ ครุศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น
  • โรงเรียนสายอาชีพ จะคล้ายๆ ปวช. บ้านเรา เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการฝึกทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง
และเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือโรงเรียนสายอาชีพแล้ว ก็จะแยกไปได้อีก 2 ทางค่ะ คือ มหาวิทยาลัย และ โพลีเทคนิค ซึ่งระบบมหาวิทยาลัยของฟินแลนด์จะไม่ต่างจากในบ้านเรา พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโทและเอกได้ ส่วนโพลีเทคนิคนั้น จะคล้ายๆ ปวส. ของเมืองไทยแต่จะใช้เวลาเรียน 3-4 ปี ปัจจุบันฟินแลนด์มีจำนวนมหาวิทยาลัยทั้งหมดเป็นของรัฐประมาณ 20 แห่ง และมีจำนวนโพลีเทคนิคประมาณ 30 แห่งที่ดำเนินการโดยรัฐบาล เทศบาล และเอกชนค่ะ

เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
  • ฟินแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากที่สุดในโลก
  • รายการต่างประเทศที่เข้ามาฉายในช่องทีวีของฟินแลนด์ มักไม่ค่อยมีการพากย์เสียงภาษาฟินแลนด์ จะยังคงพูดภาษาเดิมนั้นๆ แต่จะขึ้นซับไตเติ้ลด้านล่างให้อ่านแทน
  • ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยมากถึงมากที่สุด
และนี่ก็คือระบบการศึกษาของ ฟินแลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีระบบการศึกษาอันดับ 1 ของโลกค่ะ

คุณเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านมูมินบ้างมั้ย ?

         


คุณเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านมูมินบ้างมั้ย ?

 @Moomin Characters Ltd

"Have you ever heard of moominvalley ? "ประโยคนี้เป็นประโยคเปิดเรื่องของ The Moomins ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งเจ้าของบล็อกด้วย ^^

เรื่องราวของมูมินสร้างขึ้นโดย Tove Jansson นักเขียนชาวฟินแลนด์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1945 มีชื่อตอนว่า "The Moomins and the Great Flood" ซึ่งตัวละครหลักที่ยังเป็นตัวเดินเรื่องราวในตอนต่อๆมามีแค่เพียงห้าตัวเท่านั้น คือ Moomin's family ได้แก่ มูมิน(Moomintroll) มูมินปาป้า(Moominpappa) มูมินมาม่า(Moominmamma) สนิฟ(Sniff) และ เจ้าตัวปีศาจถุงเท้า(Hattifatteners)  แต่เรื่องที่คนทั่วไปยอมรับว่าจุดเริ่มเรื่องราวของมูมิน คือ "Comet In Moominland"   ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีถัดมา และเป็นตอนที่มูมินได้พบกับเพื่อนและแฟนสาวของเขา คือ สนัฟกิ๊น (Snufkin)และแม่สาวสน็อค (Snork Maiden). ส่วนหนูน้อยลิตเติ้ลมายด์ (Little my) ปรากฎตัวครั้งแรกในเล่มที่สี่ ตอน The Exploits of Moominpappa.

The Moomins Family คือ ครอบครัวโทรลตัวละครในเทพนิยาย คงเป็นเพราะครอบครัวนี้มีลักษณะอ้วนกลม หัวโต ตัวสีขาว มีหางยาว ทำให้ใครๆเห็นแล้วคิดว่าพวกเค้าเป็นฮิปโป หรือ บ้างก้อว่ามูมินเป็นวัว ซึ่งเรื่องราวของมูมินเป็นเรื่องราวที่แสดงความรักในครอบครัวและมิตรภาพของเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นใน Moominvalley ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ที่สงบและสวยงามตามแนวนิทานคลาสิค มีเนินเขาสีเขียว แม่น้ำ และทุ่งดอกไม้ ซึ่งตัวละครหลักๆในเรื่องก้อจะมีความน่ารัก อ่อนโยนและเป็นมิตรให้แก่กัน.

ที่มูมินวัลเล่ย์ (Moominvalley) มีฤดูกาลที่ชัดเจนและช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดของมูมินก้อคือ เมื่อฤดูหนาวมาเยือน สนัฟกิ๊น เพื่อนที่ดีที่สุดของเขามักจะออกเดินทางไปทางใต้เพื่อค้นพบตัวเองและช่วงเวลานั้นครอบครัวมูมินและสมาชิกของมูมินวัลเล่ย์ก้อมักจะจำศีล (Hybernation)เป็นเวลานาน และทุกอย่างก้อจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน และมูมินก้อมักจะมีความสุขที่สุดเพราะสนัฟกิ๊นเพื่อนรักของเค้าก้อจะกลับมาอีกครั้ง.

เรื่องราวของมูมินถูกสร้างเป็นอะนิเมชั่นและนำมาถ่ายทอดทางทีวีที่ญี่ปุ่นในปี 1990 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มูมินเป็นที่รู้จักอย่างมากอีกครั้ง เจ้าของบล็อกเองก้อเริ่มหลงรักมูมินและผองเพื่อนจากการรู้จักผ่านผลงานการกำกับของ Hiroshi Saito และ Masayuki Kojima นี่แหละ  เรื่องราวของมูมินถูกทำเป็นอะนิเมชั่นทางทีวีถึง 104 ตอน ซึ่งเรื่องที่ทำขึ้นนี้มีบางอย่างที่อาจแตกต่างไปจากต้นฉบับที่พิมพ์เป็นหนังสือ คือ
1. ตัวละครหลัก Moomintroll ที่มักจะถูกเรียกว่า มูมิน  ตอนทำเป็นอะเมชั่นตอนที่1ในญี่ปุ่น ก้อใช้ชื่อเรียกว่า มูมินโทรล
2. อย่างที่แนะนำไปแล้วตอนต้นว่า หนูน้อยลิตเติ้ลมายด์ ปรากฎตัวในเล่มที่สี แต่ในภาคญี่ปุ่นนั้นนำเสนอตั้งแต่ตอนแรก ถ้าใครได้ดูจะเห็นได้ว่า หนูน้อยลิตเติ้ลมายด์ได้ไปนอนจำศีล(Hypernate) อยู่ที่บ้านของครอบครัวมูมิน ซึ่งเป็นตอนเริ่มของเรื่อง
3. The Queen of the Cold มีลักษณะต่างจากที่บรรยายไว้ในหนังสือ

ตัวละครหลักๆในเรื่องมูมิน ได้แก่ ครอบครัวมูมิน (มูมิน มูมินปาป้า และมูมินมาม่า) แม่สาวสน็อคไมเด็น  และพี่ชายนักประดิษฐ์ สน็อค (Snork) สนิฟ (Sniff) เพื่อนมูมินซึ่งมีลักษณะคล้ายจิงโจ้  สนัฟกิ๊นเพื่อนรักของมูมินผู้เงียบขรึมและเฉลียวฉลาด และน้องสาวของเขา หนูน้อยผมแดงลิตเติ้ลมายผู้ไม่กลัวใคร รวมถึงนักสำรวจ นักสะสมตัวยงอย่างมิสเตอร์ ฮิวมาเล็น (The Humulen) นอกจากนี้แล้วก้อยังมีตัวละครเสริมที่เด่นไม่แพ้กันอีกหลายตัว เช่น เจ้าปีศาจถุงเท้า Hattifatteners เจ้าของบล็อกเรียกเองเพราะพวกมันมีสีขาว ตัวสูงยาว เหมือนใครเอาถุงเท้าซักแล้วตากแขวนไว้ อีกตัวนึงไม่พูดถึงไม่ได้ คือเจ้า Stinky บอกไม่ถูกว่ามันเป็นตัวอะไร ขนยาวๆสีดำ กลมๆเตี้ยๆ มักจะมาเป็นตัวกลัวกวน สร้างเรื่องวุ่นวายในหมู่บ้านมูมินต้องปวดหัว  และสองพี่น้องตัวจิ๋ว Thingumy and Bob.

งาดํา สรรพคุณและประโยชน์ของงาดำ 29 ข้อ !


          งาดํา สรรพคุณและประโยชน์ของงาดำ 29 ข้อ !


                                     

                                             งาดำ



งาดำ

งาดำ ชื่อสามัญ Black Sesame Seeds
งาดำ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Sesamum indicum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sesamum orientale L.)จัดอยู่ในวงศ์งา (PEDALIACEAE)
งาดำ จัดเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมายการรับประทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายของคุณจะแข็งแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอย่างแน่นอน และเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรค ในหะดิษหนึ่งท่านศาสนฑูตได้กล่าวว่า إن في الحبة السوداء شفاء من كل داء إلا السأم ความว่า แท้จริงในงาดำนั้นสามารถรักษาได้ทุกโรค ยกเว้นความตาย
งาดำอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ อย่างวิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี9 แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น โดยสามารถช่วยบำรุงร่างกายเกือบทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็กที่มีอาการป่วยอยู่แล้ว หรือผู้หญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยป้องกันโรคภาวะกระดูกพรุนอย่างได้ผล

ประโยชน์ของงาดำ

  1. งาดำ มีความสำคัญอย่างมากต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย
  2. ช่วยชะลอความแก่ คงความอ่อนเยาว์
  3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  4. ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนังของคุณ
  5. ประโยชน์ของงาดำช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง และช่วยให้ผมดกเงางาม
  6. ช่วยป้องกันผมหงอก
  7. ช่วยเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงของร่างกาย
  8. ช่วยในการเผาผลาญและสลายไขมัน ลดความอ้วน
  9. ช่วยลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล
  10. ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
  11. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรงยิ่งขึ้น
  12. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  13. ช่วยลดความเครียด
  14. ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท
  15. งาดำมีธาตุเหล็กซึ่งช่วยบำรุงโลหิต
  16. ช่วยลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด ป้องกันเกล็ดเลือดที่จะเกาะตัวกันเป็นลิ่ม
  17. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  18. การรับประทานงาดำพร้อมกันถั่วจะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนอย่างครบถ้วน ซึ่งบางตัวเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
  19. ช่วยให้นอนหลับสบาย ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
  20. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัด
  21. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา และตะคริว
  22. ช่วยบำรุงกระดูกและป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
  23. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก
  24. ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
  25. ช่วยต้านการอักเสบจากโรคข้อเสื่อม ยับยั้งการเสื่อมสลาย
  26. น้ำมันงาสามารถนำมาใช้เป็นยานวดร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อช่วยรักษาเส้นเอ็นอักเสบ
  27. น้ำมันงาช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการปวดเข่า เคล็ดขัดยอก
  28. ผู้รับประทานมังสวิรัตินิยมใส่งาลงในอาหารถั่วเหลืองที่ปรุง เพื่อให้อาหารมีโปรตีนสมบูรณ์มากขึ้น
  29. ประโยชน์งาดำในการนำมาแปรรูปเป็นงาดำแคปซูล