วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วัฒนธรรมไอริช



                                  วัฒนธรรมไอริช


                      


วัฒนธรรมไอริช

ประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีความเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก และด้วยประเพณีวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์อันมั่งคั่งนี้ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์เป็นที่ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ดังนั้นหากคุณเรียนอยู่ในเมืองใหญ่อย่างดับลิน คุณจะพบว่าที่นี่มีจำนวนของนักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่เท่าๆกัน ในฐานะนักศึกษานานาชาติในไอร์แลนด์ คุณจะได้มีโอกาสสัมผัสกับวงการดนตรีไอริช ประเพณีการเล่าเรื่องอันเก่าแก่ อาหารอันอุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมเกลิค และเพลิดเพลินไปกับความหลากหลายของภูมิประเทศและความเขียวชอุ่ม
ดนตรีไอริชชาวไอริชหลงใหลในดนตรี คุณจะมีโอกาสได้ฟังดนตรีที่หลากหลายรูปแบบในช่วงที่เรียนอยู่ในไอร์แลนด์ ไม่ต้องแปลกใจหากคุณจะได้พบกับการแสดงดนตรีสดมากมายในผับที่ซึ่งดนตรีแบบดั้งเดิมยังคงมีชีวิตชีวาและได้รับการอนุรักษ์ไว้
ประเทศไอร์แลนด์เป็นแหล่งกำเนิดของศิลปินดนตรีและศิลปินสร้างสรรค์มากมาย อาทิเช่น วง U2, The Dubliners, Van Morrison, The Pogues, Damien Rice และ The Chieftains คุณจะได้สัมผัสกับสไตล์ดนตรีไอริชอันหลากหลายในเวทีการแสดงดนตรีทั่วประเทศ หากคุณชื่นชอบดนตรี ประเทศไอร์แลนด์คือสถานที่อันยอดเยี่ยมที่รอให้คุณได้สัมผัสกับกิจกรรมทางสังคมของนักศึกษา
ภูมิประเทศของไอร์แลนด์สาธารณรัฐไอร์แลนด์ได้รับการขนานนามว่า Emerald Isle เนื่องจากเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพอันงดงามและเทือกเขาเขียวชอุ่ม ไม่ว่าจะเป็น Cliffs of Moher ใน County Clare จนถึง Ring of Kerry ใน Iveragh Peninsula ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับการปลีกตัวจากชีวิตในเมืองใหญ่ หากคุณเลือกเรียนในเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของไอร์แลนด์ คุณก็สามารถใช้บริการทัวร์หรือเดินทางไปยังเขตชนบทรอบเมืองในวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ไอร์แลนด์ยังมีชายหาดที่สวยงามที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปด้วย
ความคิดสร้างสรรค์ของชาวไอริช
อิทธิพลของตำนานปรัมปรา บทกวีและการเล่าเรื่องของชาวเซลติคได้ซึมซับอยู่ในวัฒนธรรมของชาวไอริชและมีส่วนสำคัญในการสร้างคุณูปการให้แก่วงการวรรณกรรมของโลก ประเทศไอร์แลนด์ได้ผลิตปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมชั้นยอดของโลกหลายท่าน อาทิเช่น Yeats, George Bernard Shaw, Beckett, James Joyce และนักกวี Seamus Heaney
เมืองใหญ่ของไอร์แลนด์
เขตเมืองใหญ่ของไอร์แลนด์แต่ละแห่งจะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์อันมีชีวิตชีวาของเมือง Dublin ที่มีบาร์ ภัตตาคารและร้านค้าบูติคแปลกแวกแนวมากมาย จนถึงเมือง Galway ที่มีงานเทศกาลและอาหารมากมายให้เพลิดเพลิน เมืองใหญ่ของประเทศไอร์แลนด์มีความเป็นสากลและคึกคักไปด้วยชีวิตยามค่ำคืนอันหลากหลายรวมถึงความเป็นกันเองที่หาได้ยากจากเมืองใหญ่แห่งอื่นของโลก
 

เปิดประวัติ Afternoon Tea ธรรมเนียมจิบน้ำชายามบ่ายของชาวอังกฤษ



             เปิดประวัติ Afternoon Tea ธรรมเนียมจิบ                      น้ำชายามบ่ายของชาวอังกฤษ



                                                    เปิดประวัติ Afternoon Tea ธรรมเนียมจิบน้ำชายามบ่ายของชาวอังกฤษ

Afternoon Tea หรือการจิบน้ำชายามบ่ายของชาวอังกฤษ เป็นธรรมเนียมที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เนื่องด้วยชาวอังกฤษเป็นประเทศที่ดื่มชากันมาก และบางครั้งหลายคนก็เคยได้ร่วมวงจิบน้ำชายามบ่ายกับเขาด้วยเหมือนกัน ตามโรงแรมชั้นนำก็มักมีบริการนี้อยู่ด้วย แต่ก็แอบไม่รู้ที่มาที่ไปของประเพณีชาวเมืองผู้ดีอังกฤษนี้ ถ้าอย่างนั้นเรามารู้จักประเพณีจิบน้ำชายามบ่ายเอาไว้ประดับความรู้กันดีกว่าเนอะ

           สมัยปลายศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษนิยมรับประทานอาหารกันแค่ 2 มื้อหลัก ๆ คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น พอตกบ่ายก็เลยเกิดความหิวขึ้นมาเป็นปกติ จนในที่สุดเลดี้แอนนา มาเรีย (Anna Maria, the Duchess of Bedford) ดัชเชสของเบดฟอร์ด ก็เลยสั่งให้นางสนมรับใช้จัดชาและของว่างเบา ๆ อย่างสโคนกับครีม คุกกี้ชิ้นเล็ก ๆ และแซนด์วิชชิ้นพอดีคำ จัดมารับประทานแก้หิว แถมยังได้เชิญชวนเหล่าขุนนางอังกฤษมาร่วมจิบน้ำชา และพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันด้วย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การจิบน้ำชายามบ่ายพร้อมของว่างชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอดีคำก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

           นอกจากนี้สมัยก่อนชาวอังกฤษยังนิยมดื่มชาเคล้ามื้ออาหารกันด้วย โดยหลังมื้ออาหารหลักตอนเช้า สักประมาณ 11.00 น. สาวใช้ก็จะยกชามาเสิร์ฟเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ขุนนาง ซึ่งการจิบชาช่วงนี้จะเรียกว่า Elevenes Tea ต่อมาก็เป็น Afternoon Tea หรือที่เรียกกันว่า Low Tea เพราะจัดวางบนโต๊ะทรงเตี้ย ส่วนชายามบ่ายจะจัดเสิร์ฟกับขนมว่างพอดีคำในช่วง 15.00-17.00 น. และมื้อสุดท้ายจะเรียกว่า High Tea เป็นช่วงเวลาการจิบชาหลังมื้อเย็นในช่วงเวลาประมาณ 19.00-20.00 น. โดยจะเสิร์ฟชาบนโต๊ะอาหารทรงสูง

           ส่วนเหตุผลที่ชาวอังกฤษนิยมดื่มชากันมากขนาดนี้ก็เพื่อผ่อนคลายร่างกาย ให้นอนหลับสบายมากขึ้นนั่นเองจ้า และนี่เองก็คือที่มาของธรรมเนียมการจิบน้ำชายามบ่าย น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

waiting for love - Avicii


St. Patrick’s Day


                 วันนักบุญแพทริค St. Patrick’s Day


                         history_of_st__patricks_day
                                                      ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นักบุญแพทริค 

วันที่ 17 มีนาคม เป็นวันนักบุญแพทริค (Saint Patrick’s Day) วันสำคัญนี้มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศไอร์แลนด์ (Ireland)
สัญลักษณ์ของประเทศไอร์แลนด์คือใบชามร๊อค (Shamrock) หรือใบโคลเวอร์สามกลีบค่ะ หลายคนเชื่อว่าใบชามร๊อคเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี
St. Patrick คือใคร?
แม้จะไม่มีประวัติที่ชัดเจนอย่างแท้จริงเกี่ยวกับ St. Patric แต่มีหลายๆหลักฐานที่สนับสนุนว่า St.Patric เกิดที่ Scotland หรือ อีกที่ ที่อาจเป็นไปได้ คือ Wales ประเทศ อังกฤษ เมื่อราวๆปี คริสตศักราช 370 มีชื่อเดิมว่า Maewyn Succat Calpurnius และ Conchessa พ่อแม่ของ Maewyn Succat เป็นคนพื้นเมืองเชื้อสายสวิต ที่อาศัยอยู่ใน ประเทศอังกฤษ
ในช่วงวัยรุ่น Maewyn ถูกลักพาตัวและส่งไปขายเป็น slavery ใน Ireland โดยถูกส่งตัวมารับใช้บาทหลวง ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเอง Maewyn ได้เรียนรู้และเริ่มซึมซับเรื่องของศาสนา เค้าหลงไหลในการศึกษาศาสนา ในเวลานั้น Maewyn มีความตั้งใจว่า จะแล่นเรือออกไปนอก ไอร์แลนด์ หลังจากนั้นก็ได้ ล่องเรือไปตามชายฝั่งของ ไอร์แลนด์ เป็นระยะทางไกลถึง กว่า 100 ไมล์ จนมาถึงชายฝั่งของ ประเทศอังกฤษ
เมื่อมาถึง ประเทศอังกฤษแล้ว Maewyn ยังคงทำตามความตั้งใจของเขาต่อ ด้วยการ เผยแพร่ ปณิธานของเขา เค้าได้บอกเล่าเกี่ยวกับความฝันของเค้าเกี่ยวกับ ชายที่ชื่อ Victoricus ผู้ซึ่ง มาหาเค้าเมื่อตอนที่เค้ายังอยู่ที่ ไอร์แลนด์ พร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง และนี่คือสิ่งที่ Maewyn เขียนไว้ในบันทึกของเค้า …
“เมื่อครั้งแรกที่ผมได้อ่านจดหมายฉบันนั้น ผมได้ยินเสียงร่ำไห้ในเวลาเดียวกัน เสียงนั้น ร้องว่า “เราทั้งสาม อยู่ตรงนี้ ได้โปรด เดินมาหาเราด้วย”
หลังจากนั้น Maewyn เดินทางไปเรื่อยๆ เพราะผู้คนใน ไอร์แลนด์ ยังไม่ค่อยยอมรับความเชื่อที่ว่านี้มากนัก เค้าเดินทางไปจนถึง ฝรั่งเศส และเได้บวชเป็นบาทหลวง จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Patrick (ความหมายใน ภาษาละติน แปลว่า บิดาของปวงชน) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บาทหลวง Patrick ใช้ใบไม้ 3 ใบจากต้น แชมรอท (ต้นไม้ประจำชาติของไอร์แลนด์) เพื่อนำมาอธิบายคำสั่งสอน ให้กับชาวคริสเตียนถึงเรื่องส่วนประกอบ 3 องค์ คือ พระบิดา พระบุตรและ จิตวิญญาณ (ข้อมูลจาก http://www.yindii.com/)
ภายหลังจากการเสียชีวิตของ บาทหลวง Patrick ได้ถูกสถาปนา เป็น นักบุญ (โดยมีคำว่า Saint) นำหน้าเพื่อเป็นเกียรติืแก่เขา ดังนั้นเพื่อลำลึกถึง St.Patrick ผู้ซึ่งเป็นนักบวชสอนศาสนาชาว ไอร์แลนด์ ทุกๆวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบวันตายของ St.Patrick ในทุกๆปี จึงมีการจัดขบวนพาเหรด และ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียว เปรียบเสมือนตัวแทนของต้น แชมรอท นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

impressionism


impressionism


อิมเพรสชันนิซึม  (impressionism) เป็นขบวนการศิลปะที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเริ่มต้นจากการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ของจิตรกรทั้งหลายที่มีนิวาสถานอยู่ในกรุงปารีส พวกเขาเริ่มจัดแสดงงานศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 1860 ชื่อของขบวนการนี้มีที่มาจากภาพวาดของโกลด มอแนที่มีชื่อว่า Impression, Sunrise ("Impression, soleil levant" ในภาษาฝรั่งเศส) และนักวิจารณ์ศิลปะนามว่าหลุยส์ เลอรัว (Louis Leroy) ก็ได้ให้กำเนิดคำคำนี้ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจในบทวิจารณ์ศิลปะเชิงเสียดสีซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Le Charivari อิทธิพลของอิมเพรสชันนิสม์ ยังแผ่ออกจากวงการศิลปะไปยังดนตรีและวรรณกรรม

     ลักษณะของภาพวาดแบบอิมเพรสชันนิซึมคือการใช้พู่กันตวัดสีอย่างเข้ม ๆ ใช้สีสว่าง ๆ มีส่วนประกอบของภาพที่ไม่ถูกบีบ เน้นไปยังคุณภาพที่แปรผันของแสง (มักจะเน้นไปยังผลลัพธ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเวลา) เนื้อหาของภาพเป็นเรื่องธรรมดา และมีมุมมองที่พิเศษ
    จิตรกรแนวอิมเพรสชันนิสม์ได้ฉีกกรอบการวาดที่มาตั้งแต่อดีต พวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นพวกขบถ พวกเขาได้วาดภาพจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบันให้ดูประหลาดและไม่สิ้นสุดสำหรับสาธารณชนที่มาดูงานของพวกเขานักวาดแนวนี้ปฏิเสธที่จะนำเสนอความงามในอุดมคติ และมองไปยังความงามที่เกิดจากสิ่งสามัญแทน พวกเขามักจะวาดภาพกลางแจ้ง มากกว่าในห้องสตูดิโอ อย่างที่ศิลปินทั่วไปนิยมกัน เพื่อที่จะลอกเลียนแสงที่แปรเปลี่ยนอยู่เสมอในมุมมองต่าง ๆ
    ภาพวาดแบบอิมเพรสชันนิซึม ประกอบด้วยการตวัดพู่กันแบบเป็นเส้นสั้น ๆ ของสีซึ่งไม่ได้ผสมหรือแยกเป็นสีใดสีหนึ่ง ซึ่งได้ให้ภาพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีชีวิตชีวา พื้นผิวของภาพวาดนั้นมักจะเกิดจากการระบายสีแบบหนา ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาแตกต่างจากนักเขียนยุคเก่าที่จะเน้นการผสมผสานสีอย่างกลมกลืนเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่ากำลังมองภาพวาดบนแผ่นแฟรมให้น้อยที่สุด องค์ประกอบของอิมเพรสชันนิสม์ ยังถูกทำให้ง่ายและแปลกใหม่ และจะเน้นไปยังมุมมองแบบกว้าง ๆ มากกว่ารายละเอียด

มูลเหตุสำคัญ
มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศิลปะคตินิยมอิมเพรสชันนิซึม พอสรุปได้ดังนี้
   - เป็นไปตามกฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามครรลองของชีวิต สภาพหนึ่งสู่สภาพหนึ่ง ไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ และความคิดร่วมสมัยย่อมเบื่อหน่ายกับสิ่งซ้ำซาก จำเจ มีกฎเกณฑ์ยุ่งยาก ไม่มีอิสระ ไม่มีการท้าทายสติปัญญา คตินิยมศิลปะแบบเก่า ๆ อาทิเช่น นีโอ-คลาสิค โรแมนติด และเรียลลิสม์ ซึ่งเกิดขึ้นและหมดความนิยมลง ล้วนเป็นบทพิสูจน์อันดีสำหรับกฎวิวัฒนาการ อนึ่ง สภาพของสังคม เศรษฐกิจ และ ปรัชญาของชีวิตได้แปรเปลี่ยน ไป คำว่าอิสรภาพ เสรีภาพ และภราดรภาพ เป็นหลักทั่วไปในการแสวงหาทางออกใหม่ ลัทธิปัจเจกชนได้รับการนับถือ ทางด้านเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวเสรีนิยม ศิลปินต้องดำรงชีพอยู่ด้วยตนเองไม่มีข้อผูกพันหรือรับคำสั่งในการทำงานดังแต่ก่อน
    - ความก้าวหน้าทางวิชาการต่าง ๆ รุดไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์การค้นคว้าทฤษฎีแม่สีแสงอาทิตย์เพิ่มเติม และนักวิทยาศาสตร์ชื่อ เชฟเริล (Chevereul) ได้เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีสี เป็นมูลเหตุจูงใจให้ศิลปินเห็นทางใหม่ในการแสดงออก ประกอบกับได้มีการประดิษฐ์กล้องถ่ายรูป ทำให้เขียนภาพเหมือนจริงลดความนิยมลงไป เพราะสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ให้ผลิตผลที่เหมือนจริงและรวดเร็วกว่า
    - การคมนาคมโดยทั่วไปได้รับการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้น ความเคลื่อนไหวถ่ายเททางศิลปวัฒนธรรมของชาติต่างเป็นไปโดยสะดวก ทำให้ศิลปินมีทรรศนะกว้างขวาง มีความเข้าใจต่อโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 1867 มีการแสดงนิทรรศการศิลปกรรมของญี่ปุ่นขึ้นในปารีสซึ่งก่อให้เกิดแรงดลใจต่อศิลปินหนุ่มสาว หัวก้าวหน้าในยุคนั้นอย่างมากเป็นต้น
    - มีการพัฒนาสืบทอดความคิดของศิลปินรุ่นก่อนหน้านี้ ได้แก่พวกเรียลลิสต์ ซึ่งนิยมสร้างจากความเป็นจริงที่สามารถมองเห็นได้ และพวกจิตรกรหนุ่มกลุ่มธรรมชาตินิยม โดยเฉพาะพวกกลุ่มบาร์บิซง ซึ่งรวกันไปอยู่ที่หมู่บ้านบาร์บิซง ใกล้ป่าฟงแตนโบล อยู่ไม่ห่างจากปารีสเท่าใดนัก กลุ่มนี้จะยึดถือเอาธรรมชาติ อันได้แก่ ขุนเขาลำเนาไพร เป็นสิ่งที่มีความงามอันบริสุทธิ์และมีคุณค่าสูงสุดพวกเขาจะออกไปวาดภาพ ณ สถานที่ที่ต้องการ ไม่มัวนั่งจินตนาการอยู่ในห้องดังแต่ก่อน นอกจากนี้ยังได้รับแรงดลใจจากจิตรกรอังกฤษสองคน คือ จอห์น คอนสเตเบิล และวิลเลียม เทอร์เนอร์ ซึ่งมีแนวการสร้างงานคล้ายกลับกลุ่มบาร์บิซง